บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ
วันที่ 1
4 กรกฎาคม 2552
จริงๆแล้วต้องตื่นเช้าเพื่อไปขึ้นรถที่คณะเวลา 7 โมงเช้า ซึ่งเมื่อคืนก็เตรียมของแพ็คกระเป๋าไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เสื้อผ้า ของใช้ กล้อง หลายๆอย่าง ปรากฏตื่นมา 6.50 ซะแล้ว "ไอ้บ้าเอ้ย ตั้งปลุกผิด"เพราะตั้งไว้ให้ปลุกวันจันทร์ถึงศุกร์แต่วันที่เราไปกันเป็นวันเสาร์ ถ้าก้องกานต์ไม่โทรมาก็คงยาวแล้ว รีบเลยสิครับทุกอย่างเสร็จภายใน 10 นาทีขึ้นรถประมาณ 7.20 น. เป็นการเริ่มทริปที่ไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ ซึ่งก็คาดว่าทริป คราวนี้ต้องมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอีกแน่เลย (เป็นลางสังหรณ์บางอย่างในใจ) เมื่อรถออกสถานที่แรกที่ไปถึงคือจังหวัดสระบุรี ที่บ้านของอ.ทรงชัย เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรือนไม้ไทยที่เก่าแก่มาก(ดูจากลักษณะไม้ของบ้าน)ก้าวแรกที่เดินเข้าไปในบริเวณของบ้าน

ผ่านสะพานเล็กๆที่พาดข้ามคูน้ำน้อยๆลอดซุ้มประตูหน้าขนาดพอเต็มที่สำหรับ 2 คน ความรู้สึกที่เกิดเมื่อลอดซุ้มประตูเข้ามาเจอกับลานดินเรียบประกอบกับเรือนไม้ที่ตั้งห่างเข้าไปจากทางเข้าในระยะหนึ่ง เหมือนกับเดินเข้ามาในละครพีเรียดหรือย้อนกลับไปสู่ยุคอยุธยา กับทำให้นึกถึงบ้านที่แม่กลองที่เป็นอดีตของเรา หันไปข้างขวาเจอกับคุณลุงผมทรงมหาดไทยพร้อมชุดม่อฮ่อมอีกยิ่งเข้ากันเข้าไปใหญ่ นั่นก็คือเจ้าของบ้านร่วม อ.ทรงชัยนั่นเอง เมื่อเข้ามาถึงที่นี่ อ.จิ๋วก็เริ่มชี้ถึงประเด็นว่าทำไมเราถึงต้องมาที่นี่ คือการอนุรักษ์เรือนต่างๆรวมถึงการประกอบกันขององค์ประกอบต่างๆตั้งแต่ ลานดินเรียบ สัตว์เลี้ยง บ่อปลา(ปลาเสือเยอะมาก) ของใช้เก่าๆเช่น กระต่ายขูดมะพร้าว เกวียน อุปกรณ์ชงกาแฟโบราณ เป็นต้น ประเด็นที่น่าสนใจอย่างชัดเจนคือสิ่งที่ อ.จิ๋วถาม อ.ทรงชัยว่าทำไมถึงเป็นลานดินไม่มีการปู pavement หรือจัด landscape คำตอบของ อ.ทรงชัยคือ สร้างความสมดุลให้กับชีวิตเกี่ยวกับธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ คือไม่หนีธรรมชาติอยู่กับธรรมชาติและวัฒนธรรมประเพณีของไทยที่ต้องมีลานอเนกประสงค์สามารถใช้ในกิจกรรมต่างๆ เช่น ทำบุญ งานประเพณี ตากผ้า วิ่งเล่น เตะบอล ฯลฯ และ อ.ทรงชัยก็


ร่ายยาวถึงต้นกำเนิดหรือประวัติศาสตร์ของล้านนารวมถึงของไทยเองมีความส่วนหนึ่งว่าในสมัยรัชกาลที่ 1 พระพุทธยอดฟ้าฯก็ได้รับสั่งให้รวมทัพหลวงไปตีเมืองเชียงแสนกวาดผู้คนกว่า 23,000 คน กระจัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆตั้งแต่ เชียงใหม่ น่าน ลำปาง เวียงจันทร์ ราชบุรี จนถึงกรุงเทพฯ และที่สระบุรีแห่งนี้ อ. ท่านคาดว่ามีชาวเชียงแสนที่ย้ายมาในอดีตอยู่กว่า 80,000 คนซึ่งตัว อ.ทรงชัยเอง


ก็คือหนึ่งในคนเชียงแสนที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ตามภาคต่างๆของไทยโดยท่านก็อยู่ที่สระบุรีนี้นี่เอง ระหว่างนั้นก็มีชาวเหนือจากน่านเข้ามาศึกษาดูงานด้วย เมื่อเราเก็บรูปเดินชื่นชมอาณาเขตบริเวณบ้านจนสาแก่ใจแล้ว ก็ข้ามถนนมาที่พิพิธภัณฑ์เรือลุ่มน้ำป่าสัก เดินเข้าไปภายในก็เกิดความประทับใจอย่างยิ่งยวดเมื่อผ่านไปสู่ทางเดินด้านบนก่อนลงไปที่ท่าเรือและเห็นทัศนียภาพของลุ่มน้ำป่าสัก ระหว่างท่าเรือ

กับบันไดทางลงนั้นเป็นลานดินและเวทีสำหรับจัดการแสดงของล้านนาหรือทางเหนือ เราก็ได้มานั่งกินข้าวกินน้ำท่ากันที่นี่ด้วย เมื่ออิ่มแล้วก็มีการแสดงของสาวน้อยน่ารัก ทั้งรำโคมอะไรซักอย่าง รำประวัติล้านนา รำนกยูง(รึเปล่า) แล้วก็รำสักการะแม่น้ำป่าสักปิดท้าย นางรำทั้งหมดเป็นเด็กน้อยอายุไม่เกิน 13-14 ปี สร้างความประทับใจให้กับทั้งเพื่อนๆ และอาจารย์ อย่างมาก มาถึงตรงนี้ก็ลืมว่านอกจากคณะของ นศ. สถ.5 แล้วยังมี นศ.ปริญญาโท สาขาวิชาเทคโนโลยีทางอาคาร ของ อ.ทรงเกียรติเดินทางมาด้วยอีก 9 คน เมื่อเสร็จกิจจากที่นี่แล้วคณะของพวกเราก็เคลื่อนขึ้นไปเรื่อยๆจนแวะที่อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร เมื่อถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆจนใกล้เย็นแล้วแสงแดดน้อยทำให้บรรยากาศที่อุทยานฯดูยิ่งเคร่งขรึมเก่าแก่มากขึ้นอีก(คิดเอาเอง) ลักษณะของตัวโบราณสถานนั้นเป็นการก่อด้วยศิลาแลงและมีรอยฉาบปูนบ้างประปราย ที่แรกคือวัดพระนอนมีทางเดินเข้าสู่ตัววิหารเป็นเส้นตรงผ่านเสาเล็กๆบนพื้นสนามหญ้า ช่องทางเข้านั้นแคบขนาดคนเดินผ่านได้ประมาณ 3 คน กำแพงเขตวัดไม่สูงมากเวลายืนสามารถมองข้ามผ่านเข้าไปได้ และที่สำคัญคือตัวกำแพงถูกสร้างขึ้นด้วยการวางศิลาแลงกว้างประมาณ 1 ศอกตามตั้งและศิลาแลงหน้าตัดคล้ายฐานบัว(ดูค่อนข้างยากเพราะแทบไม่เหลือรายละเอียดแล้ว) เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูทางเข้าผ่านทางเดินที่ขนาบด้วยเสาเตี้ยแค่ไม่ถึงเข่า(คาดว่าเมื่อก่อนเคยสูง..มั้ง)และสนามหญ้าเขียวขจี ก็จะเจอบันไดขึ้นสู่ตัววิหารอีกที ซึ่ง อ.จิ๋วก็ได้ชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญที่ควรเข้าไปสัมผัสว่า มีการเล่นระดับซ้อนชั้นตามสภาพภูมิประเทศ แนวเสามีการฉาบปูนเรียบระหว่างเสาจะเห็นเป็นช่องหรือกำแพงอัดอยู่ อ. ท่านสันนิษฐานว่าเป็นฝาไม้ประกน ช่องโปร่งหรือว่าอาจจะก่ออิฐเป็นช่องโปร่ง เมื่อเดินสัมผัสดูจะเห็นระนาบสูงเตี้ย textureของศิลาแลง เสาตั้งเสานอน เกิดปฏิสัมพันธ์กันโอบล้อม space ตามครรลองของโบราณประเพณีแทรกอยู่ เกิดความงามของพื้นที่ที่มนุษย์เข้ามาจัดการกับพื้นที่ป่าไม้ เกิดเป็นสำนึกที่ต่างออกไปไม่ใช่แค่เป็นโบราณสถานแต่เกิดเป็น sense ของ landscape ซึ่งถ้าเรามองให้เข้าใจก็จะสามารถจับเอาไป apply กับงานสมัยใหม่ได้ในลักษณะของการสร้างให้ธรรมชาติกับอาคารอยู่ด้วยกันอย่างลงตัวเกิดเป็นอารมณ์แบบ วัดพระนอนนี้นี่เอง เมื่อจบกันกับวัดพระนอนก็ไปต่อที่วัดพระสี่อิริยาบถซึ่งขณะนั้นมีการจัดประเพณีเวียนเทียนประจำวันอาสาฬหบูชาของที่นั่นพอดี ส่วนสำคัญของวัดนี้คือมีอาคารมณฑปวางครอบพระพุทธรูปสี่อิริยาบถ(ตามชื่อวัดเลย)ซึ่งวางหันหน้าออกสี่ทิศ แต่ที่เหลืออยู่นั้นก็มีเพียงโครงสร้างกำแพงก่อด้วยศิลาแลง เสาศิลาแลง ซุ้มทางเข้า พร้อมพระพุทธรูปปางลีลาที่มีความสวยงามตามแบบสุโขทัย ประเด็นสำคัญที่ อ.จิ๋วให้ไว้คือส่วนของกำแพงล้อมรอบจะคงเหมือนกับวัดที่แล้ว และมีร่องรอยของช่องตามกำแพงสำหรับสอดขื่อ วางแป วางเต้า คันทวย รูปปั้นพระพุทธรูปแทนที่จะวางให้อากาศกินเหมือนทั่วไปแต่สร้างกำแพงวงโค้งเกิดเป็น space โอบล้อมประติมากรรมไม่เวิ้งว้าง ขับให้พระพุทธรูปเด่นน่าเลื่อมใสขึ้นมา เมื่อเดินชมบรรยากาศถ่ายล่งถ่ายรูปเสร็จก็พร้อมกับแสงอาทิตย์ที่หมดไป ประกอบกับบรรยากาศของการเวียนเทียนแสงไฟจากเปลวเทียนที่สาดส่องล้อมรอบวิหาร ทำให้เป็นการเริ่มต้นทริปวันแรกที่น่าประทับใจทีเดียว สุดท้ายเราก็เดินทางมาถึงเมืองลำปางและเข้าโรงแรมเมื่อเวลากว่าเที่ยงคืนที่พักก็มีความน่าอยู่กว่าที่คิดเอาไว้ ข้าวเราก็กินจากที่ตลาดเพราะฉะนั้นเมื่อถึงห้องทำได้แค่เอารูปจากกล้องลง Thumbdrive ผ่านเครื่องของกิตติคุณ เสร็จปั๊บอาบน้ำแปรงฟันก็หลับเป็นตาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น