วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

9 วันกับทริปอาจารย์จิ๋ว 4

บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ


วันที่ 4
7 กรกฎาคม 2552

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ที่ลำปาง แล้วตอนเย็นคณะของพวกเราก็มีอันจะต้องจรลีไปสู่เมืองเชียงใหม่อันศิวิไลซ์ในภูมิภาคแห่งนี้ จุดมุ่งหมายแรกของวันนี้คือวัดสุชาดาราม เราจะมาดูวิหารที่เป็นสถาปัตยกรรมสกุลช่างเชียงแสนสร้างขึ้นในระหว่างปี 2325-2352 เมื่อไปถึงส่วนที่เป็นทางเข้าสู่บริเวณภายในรั้วรอบวิหารจะพบว่าจะเข้าจากด้านข้างและขึ้นไปเจอกับด้านหลังของวิหารเมื่อขึ้นมาถึง อ.จิ๋วก็ได้ให้ประเด็นที่มีความสำคัญก่อนจะเดินไปชมทางด้านหน้าของอาคาร ซึ่งเป็นวิหารที่ท่านครูบาศรีวิชัยเป็นผู้นำในการเข้ามาอนุรักษ์ปฏิสังขรณ์ โดยมานั่งหนักที่นี่คือนั่งอยู่นานเพื่อให้ศีลให้พรชาวบ้านที่มาช่วยบริจาคช่วยกันก่อสร้าง เมื่อเราเดินไปสู่ด้านหน้าด้วยทางเดิน Horizontal planeที่ทอดนำพาแล้วหักเลี้ยวให้เราหันเดินไปสู่ทางเข้าสู่ประตูวิหาร ส่วนของวิหารที่มีการเล่นระดับตามความสำคัญของหลังคา สัดส่วนฐานหักมุมเพื่อลดทอน mass ให้ไม่ใหญ่เทอะทะเกินไป ด้านหลังของวิหารก็คือเจดีย์ในทรงของพม่า เดินเลี้ยวมามองเห็นความวิจิตรพิสดารของหน้าบัน ประกอบด้วยสิงห์นั่งขนาบ 2 ข้างของประตูประเด็นสำคัญของส่วนด้านหน้านี้มีตั้งแต่ ระเบียงทางเข้าที่ผายออกเพื่อดึงเชื่อม space สู่ภายใน เสาด้านหน้านั้นเป็นทรง 8 เหลี่ยมแค่ 1 คู่ การประดับตกแต่งเสาแทนที่จะทำจนหมดทั้งความยาวแต่ทำเหลือไว้ที่ฐานที่นั่งของสิงห์เพื่อแสดงถึงระดับความสำคัญของลวดลายที่จะใช้ในส่วนไหนจะพอเหมาะ อีกส่วนทีสำคัญคือการเกิด Positive – Negative Space ของเสาตุ๊กตา ที่ตั้งเพื่อรับขื่อมีการตกแต่งโดยคว้านเนื้อไม้เข้าไปคล้ายปากนกแก้วเกิดเป็น positive space ที่ปากนกแก้วนั่นเอง กลายเป็นความงามที่องค์ประกอบต่างๆทางสถาปัตยกรรมสร้างขึ้นมา โดยส่วนที่แตกต่างจากรูปแบบของวิหารภาคกลางอีกอย่างนึงคือ ปั้นลมที่วิ่งลงมาจากด้านบน 2 ระดับแล้วเชิดขึ้นกลายเป็นตัวเหงานั้นใช้ปูนหล่อหรือปั้นขึ้นมาครอบปั้นลมไม้ที่ปิดหัวแป ต่างจากรูปแบบของภาคกลางที่ปั้นลมอยู่หน้าแล้วมีหลบปูนด้านหลัง เมื่อเข้าไปด้านในส่วนของหน้าบันด้านบนศีรษะของพระพุทธรูปเจาะรูตรงกลางเป็นช่องที่เกิดจากเสาตุ๊กตาเพื่อให้ space ลื่นไหลต่อเนื่อง แผงคอสองมีการวาดภาพพุทธประวัติเอาไว้ ที่ฐานเสาด้านในมีการประดับด้วยกระจกสีซึ่งคาดว่าเป็นอิทธิพลของพม่า ลวดลายประดับเสาด้านในนั้นมีความแตกต่างไม่ซ้ำกัน แสดงถึงความพิถีพิถันของช่างในการก่อสร้างวิหารนี้ได้อย่างชัดเจน เมื่อเดินถ่ายรูปเก็บภาพทำความเข้าใจทั้งโครงสร้าง การรับรู้ space ,forms ต่างๆจาก อ.ท่านอื่นๆ กราบพระประธานข้างในวิหารแล้วเรียบร้อยก็ต้องเคลื่อนตัวไปสู่ที่ต่อไปโดยสถานที่ต่อไปก็อยู่ภายในวัดพระแก้วดอนเต้า ซึ่งวิหารวัดสุชาดารามแห่งนี้ก็อยู่ในบริเวณของวัดพระแก้วดอนเต้านี้นี่เอง พระบรมธาตุดอนเต้าเป็นสถานที่ต่อไปที่เราเข้าไปสัมผัสถึงความงดงามจากฝีมือของช่างในสมัย 200 กว่าปีก่อน ซึ่งส่วนที่เราตั้งใจมาดูนั้นไม่ใช่ตัวของพระบรมธาตุแต่เป็นมณฑปเก้ายอดที่ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าในสไตล์ของพม่า ความวิจิตรพิสดารของมณฑปนี้เกิดจากการประดับด้วยกระจกสีและลวดลายที่มีการบรรจงสรรค์สร้างขึ้นมาอย่างอ่อนช้อย โดยคาดว่าบางส่วนของลวดลายนั้นเกิดจากอิทธิพลของชาวอังกฤษที่ในช่วงเวลาขณะนั้นได้เข้ามาทำการยึดครองพม่าเป็นเมืองขึ้นทำให้มีคติความเชื่อในลักษณะของชาวคริสต์เข้ามาผสมอยู่ในมณฑปบางส่วนอย่างชัดเจน เช่น ลายเพดานที่แบ่งห้วงของช่องตารางตามลักษณะแบบลายเพดานของวัดทั่วไปแต่ตรงกลางไม่ใช่ดาวกลายเป็นกามเทพหรือคิวปิดตัวน้อยกำลังแผลงศร ลวดลายที่ประดับในองค์ประกอบของอาคารทั่วไปไม่ว่าจะ เสา ขอบเพดาน กรอบมุมเสากับเพดาน ผนัง และหลายๆส่วนเป็นลายในลักษณะแบบฝรั่งคือเป็นดอกไม้ ใบไม้ เถาวัลย์เลื้อยพันกันไปมาซับซ้อนทับกันอย่างวิจิตรบรรจงบ่งบอกว่าอาจมีฝรั่งเข้ามาร่วมในการก่อสร้างด้วย โดยมีช่างเป็นชาวพม่า เมื่อชมความงดงามของมณฑปหลังนี้เสร็จเราก็เดินต่อไปด้านในพบว่ามีพระอุโบสถพระวิหารหลวงครูบาศรีวิชัยตั้งอยู่ ซึ่งในสมัยก่อนระหว่างปีพ.ศ. 1979-2011 เคยเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต ซึ่งปัจจุบันก็ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระแก้ว กทม.นั่นเอง ในช่วงปี พ.ศ.2467 พระครูบาศรีวิชัยได้มาเป็นประธาน ในการบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถและพระประธานแห่งนี้ เมื่อเดินผ่านจากด้านหลังอุโบสถที่มาจากพระบรมธาตุก็ไปถึงด้านหน้าพบว่าวัสดุที่ใช้เป็นวัสดุสมัยใหม่ทั้งพื้นหินอ่อน เสา กำแพง ปูนทาสีขาว ด้านในก็มีความโป้งโล้งเกิด sense of space ในอีกลักษณะซึ่งดูแล้วไม่ซาบซึ้งเท่ากับวิหารของวัดสุชาดาที่ผ่านมา โดยอาจเกิดจากการซ้อนระดับของหลังคา การให้สีที่ส่วนเสาหรือที่เป็นปูนจะสีขาว ส่วนกลอน แป ขื่อ เต้า ระแนง ที่เป็นไม้นั้นทาด้วยสีแดง พรมปูพื้น พัดลม หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ ที่ติดตามเสา และขื่อ สร้างการรับรู้อีกแบบที่สงบนิ่งไม่เท่ากับวัดหลายๆแห่งที่เราได้เข้าไปสัมผัสมาแล้ว (คิดเอาเอง) เสร็จเรียบร้อย เราก็จะต้องไปต่อกันที่อีกวัดหนึ่ง เป็นวัดที่ได้รับรางวัลอนุรักษ์จากยูเนสโก คือวัดปงสนุกเมื่อมาถึงส่วนที่สำคัญของวัดนี้คือส่วนมณฑปเราก็เข้าไปสัมผัสกันว่าทำไมถึงได้การยอมรับจากยูเนสโก แต่ก่อนหน้านั้นคือเราก็รู้มาจาก อ.แล้วว่าที่เขาได้เพราะมีการร่วมกันทำงานกับชาวบ้านแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีปฏิสัมพันธ์กันและองค์การกรีนพีซก็มีส่วนร่วมทำให้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เราจึงรู้ว่าที่เค้าได้ก็เพราะกระบวนการในการทำงานมากกว่าผลงานที่สำเร็จออกมานั่นเอง เมื่อข้าพเจ้านั่งอยู่ด้านในก็พบว่าโครงสร้างหลังคาด้านในนั้นค่อนข้างซับซ้อนทีเดียว(ดูผ่านๆ) เมื่อมาดูในส่วนของการประดับประดาลวดลายที่อ่อนช้อยและวิจิตรงดงามไม่แพ้โครงสร้างหลังคาทีเดียวแต่ด้วยความรู้สึกส่วนตัวคิดว่ายังไม่ละเอียดหรือเนี๊ยบเท่าไหร่ ซึ่งจะเห็นว่าส่วนเสาด้านล่างหรือดาวเพดานนั้นมีการทำปูนปั้นแบบนูนขึ้นมาแต่ส่วนของปลายลายเรียวแหลมหรือต้องการความคมยังไม่เก็บให้กริ๊บเท่าไหร่ เท่าที่นั่งสำรวจโครงสร้างหลังคาและสเก็ตช์ทำความเข้าใจคร่าวๆเอาเองทำให้พบว่าน่าตื้นเต้นจริงๆไม่งั้น อ.ไก่คงไม่ให้คนที่ขาดวิชา Professฯ 2 ครั้งกลับไปตัดโมเดลเป็นการบ้านมาส่งแต่ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทางวัดนี้มีการทำหนังสือเกี่ยวกับวิถีทางในการอนุรักษ์ออกมาจำหน่ายทำให้เพื่อนๆที่โชคดีมีข้อมูลให้ค้นหาได้ง่าย ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ซื้อเก็บไว้สักเล่มเผื่อสักวันได้หยิบมาดูมาอ่านประดับสมองสักหน่อย จนถึงเวลากลับก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น โก้หัวโตเพื่อนข้าพเจ้าได้เก็บเงินเป็นจำนวน 3,000 บาท ไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครทำเงินหล่นได้มากมายขนาดนั้น ด้วยความที่เป็นคนดีจากจิตใจก็หาเจ้าของจนเจอและได้ทำพิธีส่งมอบคืน เจ้าของก็ไม่ใช่ใครที่ไหนคือรุ่นพี่ที่เรียน ป.โทนั่นเองและด้วยความซาบซึ้งพี่เขาก็ให้หนังสืออนุรักษ์ของวัดปงสนุกให้เป็นการตอบแทน จบเหตุการณ์นี้เราก็นั่งรถบัสพี่แป๊ะไปต่อในสถานที่ต่อไป โดยก่อนที่เราจะไปถึงสถานที่ให้ทำการศึกษานั้นเราก็แวะกินข้าวกันที่วัดศรีรองเมืองก่อนซึ่งทุกคนก็เตรียมข้าวมาแล้วจากที่พักตอนเช้า และพวกเราบางกลุ่ม(ใหญ่ๆ)ไม่ได้เตรียมมาอีกแล้ว จึงทำการเดินตาม คณะ อ. ไปหาอาหารกลางวันกินด้วยความมั่นใจแน่นอนว่ามีข้าวกินแน่ๆ เดินไปเรื่อยๆก็รู้สึกว่าระยะทางค่อนข้างไกลทีเดียวแต่สุดท้ายก็ได้กินจนอิ่ม ขณะเดินกลับเราก็เดินทางกลับพร้อมๆกับ อ.ไก่ ที่ อ.วัฒน์ฝากให้เดินกลับไปด้วยกันพร้อมๆฝนที่โปรยลงมาจนทุกวันของการอยู่ในเมืองลำปาง กลับมาที่วัดศรีรองเมืองขณะที่ อ.จิ๋วกำลังบรรยายเพื่อชี้ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญของวัดนี้ซึ่งจะเห็นว่าเป็นวัดที่มีลักษณะของพม่าเนื้อความที่ข้าพเจ้าบันทึกได้คือ “ไทยใหญ่ – พม่าร่วมกันสร้างเป็นทั้งกุฏิ, วิหาร ,ฯลฯ อยู่ร่วมกันไม่แยกอาคาร โครงสร้างซับซ้อน โดยช่างพม่าจากมันดาเลย์ ยกใต้ถุนสูงพัฒนามาจากอาคารที่วางบนพื้นเป็นกลุ่ม หมวดหมู่ มองจากภายนอกเห็นความสำคัญ ของแต่ละหลัง อยู่บนฐานของการสร้างวิมานสวรรค์วิจิตรพิสดารตรงข้ามกับเซนประดับด้วยกระจกสี แก้ว แสดงออกมาตามคติความเชื่อ” ฟังเสร็จก็เดินและทำการถ่ายรูปบันทึกไว้เป็นหลักฐานจนสาแก่ใจ เราก็ออกเดินทางไปที่บ้านเรือนไม้เก่าอยู่ที่ ต.มะกอก อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ปรากฏว่าเป็นเรือนไม้ของคุณยายที่เปิดให้เข้าชมสำหรับผู้ที่สนใจมานานแล้ว ภายนอกเท่าที่ดูเป็นงานไม้ที่เนี๊ยบมากๆขนาดหัวเสาที่รับคานยังมีการตกแต่งด้วยบัวหงายการต่อไม้คานก็แทบมองไม่เห็นรอยต่อ(หรือไม่ได้ต่อก็ไม่รู้) เดินวนรอบบ้านจนครบก็ขึ้นไปบนตัวบ้านน่าตื่นเต้นกว่าข้างล่างอีกเพราะลักษณะของหลังคาปั้นหยาที่วิ่งมาชนกันจึงเกิดเป็นร่องหลังคาที่คงมีน้ำฝนรั่วซึมบ้างทำให้ต้องมีการใส่รางน้ำด้านใต้หลังคาเกิดเป็นส่วนประดับของบ้านที่แปลกดี แล้วข้าพเจ้าก็นั่งมั่งยืนบ้างเพื่อจดผังของบ้านไว้ประดับสมอง จนมาวันนี้ปรากฏว่ามันไม่อยู่แล้วทั้งในสมองและในกระดาษที่จดไว้...เซ็งครับ ชื่นชมและล่ำลาคุณยายเจ้าของบ้านจนเสร็จเราก็วิ่งกลับไปขึ้นรถ ทำการเดินทางต่อไปที่เชียงใหม่ดินแดนศิวิไลซ์แห่งภาคเหนือ โดยรวมวันนี้เป็นวันที่เหนื่อยมากเพราะไปหลายสถานที่การจะตั้งสมาธิทำความเข้าใจในทุกที่ๆไปนั้นยากพอๆกับ lecture เกิน 3 ชั่วโมง เมื่อมาถึงที่พัก โอ้สนามกีฬา 700 ปีแห่งเชียงใหม่ และนอนใต้อัฒจรรย์ จากห้องละ 4 กลายเป็น 20 ซึ่งก็ไม่เป็นอะไรสำหรับพวกเราอยู่แล้วแต่สำหรับข้าพเจ้าคือการไม่ได้นอนเร็วๆแน่ เพราะว่าเพื่อนทำอะไรกันในห้องก็ต้องทำด้วยแน่ๆด้วยกิเลสต่างๆเริ่มด้วยยกหมากรุกไปโขกกันอีกห้องด้วยกติกาฝั่งละ 2 คน คือผลัดกันเดินโดยห้ามปรึกษากันผลคืออั้นไม่อยู่ ถ้าเพื่อนเดินไปในตำแหน่งเสียเปรียบเราก็ต้องแสดงอาการแน่นอน ถึงแม้ได้ชัยชนะแต่ก็ยังไม่สะใจ จบวันกลับไปนอนไม่ได้กลายเป็นต้องเล่นการพนันต่ออีกจนดึกดื่นตามกิเลสที่มันยั่วนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น