วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

9 วันกับทริปอาจารย์จิ๋ว 7






















บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ










วันที่ 7
10 กรกฎาคม 2552

วันนี้หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็ข้ามถนนไปกินข้าวอีกฝั่งถนนก่อนที่จะเดินทางไปที่สนามบินสุโขทัย เมื่อไปถึงก็เริ่มฟังการบรรยายจาก อ.จิ๋วและตามด้วยพี่ปูผู้มาเป็นวิทยากรให้เราเข้าใจถึงอาคารสนามบินนี้ซึ่งพี่ปูจบโบราณคดีจากศิลปากรแล้ว
มาทำงานดูแลที่นี่ สนามบินสุโขทัยเป็นสนามบินเฉพาะของสายการบินบางกอกแอร์เวย์คือมีเฉพาะสายการบินนี้ที่มาลงที่นี่ ออกแบบโดยบริษัทสถาปนิก Habita อาคารสนามบินนี้ได้รับรางวัลเกี่ยวกับการจัดการอาคารดีเด่นเช่นไม่สร้างมลภาวะจากสมาคมสถาปนิกสยามติดต่อกัน 4 ปี(มั้ง) รูปแบบของอาคารเป็นทรงไทยแบบล้านนา ซึ่งผู้ออกแบบมีความตั้งใจที่จะล้อเลียนลักษณะไทยโดยเฉพาะลักษณะสุโขทัยแต่ไม่ได้ถอดลักษณะสุโขทัยมาตามโบราณคดีแต่เข้าใจในลักษณะและรูปแบบเช่น ความลาดของหลังคา กระเบื้องเป็นยังไง วิหารเป็นยังไง ดูได้จากเสาของอาคารผู้โดยสารขาออกที่เรายืนอยู่ที่มีการลดทอนรายละเอียดจากเดิมของสุโขทัยที่มีการประดับบัวเหลือแค่เสากลมดังที่เห็น หรือในส่วนของหลังคาแทนที่จะใช้ม้าต่างไหมแต่กลับมาใช้จันทันแล้ววางระแนงวางแปเหมือนลักษณะธรรมดาแต่ตัวขนาดไม้เล็กลงและมีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาประกับชิ้นส่วนเข้าด้วยกันด้วยไม้และเหล็กแสดงให้เห็นถึงการใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างสมัยใหม่เข้าไปร่วมด้วย ผนังรูปแบบสุโขทัยนั้นจะมีการฉาบด้วยปูนแต่ที่นี่เป็นผนังโชว์แนวอิฐซึ่งมาจากการที่ศึกษาจากโบราณสถานแล้วเห็นระเบียบของอิฐที่เหลืออยู่เกิดความประทับใจจึงนำมาใช้ก็เข้ากันได้ไม่เคอะเขิน ทั้งหมดทั้งปวงได้แสดงให้เห็นถึงการเข้าใจภูมิปัญญาของอดีตแล้วนำมาแก้ไขบางรายละเอียดด้วยความรู้ของปัจจุบัน และด้วยความเข้มแข็งของอดีตรายละเอียดของปัจจุบันจึงถูกปิดบังซ่อนอยู่ในระเบียบของอดีตนั้นนั่นเอง ด้วยความที่เป็นอาคารที่ออกแบบมาเพื่อประหยัดพลังงานด้วย ตัวอาคารส่วนใหญ่จึงไม่มีการกั้นผนังและติดแอร์ เครื่องลำเลียงกระเป๋าแบบสายพานก็ไม่มีเพราะผู้โดยสารที่มาลงนั้นมีไม่มากก็ใช้พนักงานช่วยกันขน ในส่วน Lounge ของอาคารผู้โดยสารมีระบบรดน้ำบนหลังคาเพื่อลดอุณหภูมิ เป็นต้น การจัดวางผังของกลุมอาคารรวมไปถึงแลนด์สเคปอิงคติในแบบสุโขทัยและล้านนา เช่น การวางเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ให้เห็นลักษณะของสุโขทัย ศาลาท่าน้ำสำหรับต้อนรับผู้โดยสารขาเข้าเลียนแบบสมัยโบราณที่มีการสัญจรทางน้ำ พวกเราก็นั่งรถสำหรับผู้โดยสารในการชมบริเวณสนามบินและพี่ปูก็คอยอธิบายในทุกที่ที่เราไปอย่างไม่กลัวแดดเพราะแดดร้อนมาก แต่ส่วนที่น่าสนใจและน่าจะสำคัญที่สุดในทัศนะของข้าพเจ้าน่าจะอยู่ที่การจัดการสภาพแวดล้อมที่ตั้งอยู่ให้อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ไม่ว่าจะพื้นที่ทำการเกษตร เลี้ยงสัตว์ถึงขนาดเป็นสวนสัตว์ การอยู่ร่วมกันกับชาวบ้านที่ไม่ได้ไปสร้างอย่างเดียวแต่ก็คืนพื้นที่ให้ชาวบ้านได้เข้ามาทำการประกอบอาชีพเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วย เห็นแล้วก็นึกถึงสุวรรณภูมิดินแดนที่ราบลุ่มชุ่มน้ำแหล่งระบบนิเวศน์ที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในภาคกลางซึ่งเดี๋ยวนี้ถูกทับด้วยรันเวย์ยาวที่สุดและเสี่ยงจะแตกร้าวมากที่สุดเหมือนกัน ถ้าได้คำนึงถึงข้อสำคัญแบบเดียวกันนี้กับสนามบินสุโขทัยก็น่าจะดี หลังจากเยี่ยมชมทั้งส่วนสนามบินและส่วนโรงแรมและส่วนอื่นๆเราก็มารับประทานอาหารที่ส่วนร้านอาหาร นานมากๆกว่าจะได้กินแต่ละจานนานอย่างไม่น่าเชื่อทำให้เราใช้เวลาอยู่ที่สนามบินสุโขทัยนี้นานขึ้น แล้วจากสนามบินเราก็ไปกันที่ศูนย์ศึกษา – อนุรักษ์เตาสังคโลกที่นี่ อ.จิ๋วปล่อยให้ อ.น้ำเป็นผู้นำทริป เป็นอาคารที่น่าสนใจเหมาะจะนำมาเป็นอาคารตัวอย่างสำหรับ Thesis ข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และที่นี่ก็เป็นอีกที่ที่เป็นการนำเอาระเบียบแบบสุโขทัย – ล้านนาเข้ามาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ อย่างแรกที่ อ.น้ำชี้ให้เห็นคือการแก้แนวเอียงของตัวอาคารด้วยเส้นรั้วยึดขอบที่เรียกว่า Blend ทำให้ถนนกับตัวอาคารไปด้วยกันได้ ด้วยความที่ผู้ออกแบบเป็นภูมิสถาปนิกการออกแบบทางเดินให้มีการเดินเข้า-ออก เข้า-ออก ทำให้รู้สึกว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง รูปลักษณ์ของอาคารใช้ช่องตั้ง ประตู หน้าต่าง คล้ายๆกับที่เราได้ไปดูกันที่เชียงใหม่ การใช้ผนังก่ออิฐ รั้วศิลาแลง พวกเราก็เดินดูกันจนสาแก่ใจก็บังเอิญมีกลุ่มของนักศึกษา ม.หัวเฉียวเข้ามาดูด้วยก็ป๊ะกันแต่ก็ต้องจากกันด้วยความรวดเร็วเพราะเรายังมีที่ต้องไปต่ออีก ซึ่งต่อไปก็จะกลายเป็นเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์คือเข้าสู่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ที่แรกที่เข้าไปก่อนคือวัดเจดีย์เก้ายอดเราก็ได้เดินเข้าไปถ่ายรูปและสัมผัสการรับรู้ในการออกแบบของคนสมัยก่อนที่สามารถออกแบบให้สามารถอยู่ร่วมกันกับธรรมชาตออย่างกลมกลืน ส่วนตัวแล้วข้าพเจ้าคิดว่าการมาเยี่ยมชมโบราณสถานนั้นสนุกตรงที่เราได้เห็นอดีต ซากปรักหักพังที่ชวนให้จินตนาการถึงภาพในอดีตของสถานที่นี้ว่าจะเคยเป็นอย่างไรมา ภาพอาคารที่เคยตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ผู้คนที่เคยใช้งาน การได้เยี่ยมชมโบราณสถานสำหรับข้าพเจ้านั้นเป็นไฮไลท์ในการมาทริปครั้งนี้เลยทีเดียว ในการมาถึงที่อุทยานฯศรีสัชนาลัย อ.จิ๋วก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวคร่าวๆเกี่ยวกับที่นี่ก่อนว่าเป็นเมืองลูกหลวงของสุโขทัย ในกาลก่อนนั้นกษัตริย์ที่จะครองสุโขทัยได้ต้องมาครองเมืองลูกหลวงหรือศรีสัชนาลัยนี้ก่อนซึ่งทั้ง 2 เมืองเปรียบเป็นดังเมืองพี่เมืองน้องกันมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ส่วนวัดเจดีย์เก้ายอดนี้ก่อสร้างด้วยศิลาแลงบนระดับของ contour สิ่งน่าสนใจของคือระเบียบของการก่อเจดีย์ด้วยการทำ Wall bearing ด้านในเจดีย์จะเป็นโพรงโปร่งหมดโดยเฉพาะทางเข้ามีการก่อเป็นช่องทางเข้าแล้วเอาแผ่นศิลาแลงสามเหลี่ยมมายันกันคล้ายกับกรีกยุค Early period ที่ก่อทางเข้าเป็นรูป Arch แล้วที่ด้านบนสุดมีหินสามเหลี่ยมซึ่งเรียกว่าอะไรก็จำไม่ได้เสียบเอาไว้เพื่อให้เกิดเป็นแรงอัดทำให้ทรงตัวอยู่ได้แล้วที่นี่ศรีสัชนาลัยก็มีการทำเช่นเดียวกัน อีกสิ่งที่น่าสนใจคือการสร้างอาคารบน contour โดยใช้ศิลาแลงก่อลดหลั่นต่างกันแล้วเชื่อมศิลาแลงเข้ากับฐานอาคาร ค่อยๆวางยักเยื้องเพื่อปรับระดับจาก contour เข้าสู่ระนาบราบอย่างแนบเนียน เราก็ทำการเดินชมและบันทึกภาพไว้แล้วก็ย้ายขบวนต่อไปที่ส่วนอุทยานฯศรีสัชนาลัยโดยต้องผ่านกำแพงเมืองและป้อมประตูชื่อว่าป้อมและประตูรามณรงค์ ซึ่งเป็นป้อมประตูทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง ในช่วงที่เราเดินผ่านประตูเมืองเข้าไปนี้ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาค่อนข้างหนักทีเดียว แต่ก่อนยืนหลบกันอยู่สักพักฟ้าก็เริ่มสว่าง สามารถเริ่มดำเนินการกันต่อไปได้ ซึ่งก็เป็นการเดินชมซากปรักหักพังที่ยังคงเหลือร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองในอดีตและบันทึกภาพไว้ในเมมโมรี่การ์ดของกล้องของแต่ละคน ในเมืองเราก็เดินเข้าไปสัมผัสหลายๆที่ เช่น วัดนางพญาที่มีชื่อเสียงว่าลวดลายปูนปั้นประดับผนังของวิหารมีชื่อเสียงว่างดงาม เจดีย์เจ็ดแถว วิหารหลวง กำแพงที่ก่อด้วยศิลาแลงไม่สูงเกินหัว การเจาะช่องหน้าต่างตามตั้ง ในช่วงนี้ก็ถึงคราววิกฤตของข้าพเจ้าคือกล้องแบตหมดทั้งๆที่เหลือที่ที่ต้องไปอีกหลายที่จะใช้กล้องฟิล์มแสงแดดก็ค่อยๆหมดไม่กล้าถ่ายมากเพราะกลัวภาพออกมาจะเบลอจากแสงไม่พอ กลายเป็นว่าเดินไปสัมผัสบรรยากาศและดูโบราณสถาน พยายามมองให้เห็นแบบที่ อ.จิ๋วและ อ.น้ำ ชี้เอาไว้ทั้ง space ,circulation ,sequence และอื่นๆที่เกิดจากการออกแบบอาคารในสมัยก่อนและเหลือทิ้งเอาไว้ให้เราได้สัมผัสและทำความเข้าใจในยุคปัจจุบัน ตัวข้าพเจ้าเองก็ตั้งใจบ้างเล่นบ้างแต่ก็พยายามที่จะทำความเข้าในในหลากหลายประเด็นที่ อ.ทิ้งเอาไว้ไม่รู้ก็ถามบ้าง เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็คิดว่าสักวันคงต้องมาเองอีกสักครั้งหนึ่งเพื่อจะได้มีเวลาอยู่กับมันให้มากกว่านี้ เราก็ไปถ่ายรูปกันจนมืดมากแล้วซึ่งที่สุดท้ายนั้นมืดจนแทบไม่มีแสงคือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง มองอะไรก็ไม่เห็นที่สุดก็ต้องกลับแล้วมาต่อกันในวันพรุ่งนี้เช้ามากๆ อ.น้ำบอกว่าตื่นตี 5 กลับไปที่พักข้าพเจ้าก็รีบจัดแจงตัวเองให้พร้อมสู่การเดินทางวันพรุ่งนี้ที่น่าจะต้องใช้สมองและใจอย่างเต็มที่แน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น