บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ

ชิดริมถนนมากๆชื่อว่าวัดพันเตา ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยมีส่วนสำคัญที่เราจะมาดูคือพระวิหารหอคำหลวงซึ่งประเด็นสำคัญของวิหารนี้คือเป็นวิหาร
ขนาดใหญ่ที่ใช้โครงสร้างไม้เป็นหลัก และคอนกรีตเป็นส่วนผนัง อีกทังรูปแบบของอาคารเป็นแบบของล้านนาแท้ที่มีความประณีตงดงามทั้งสัดส่วน ลวดลาย การใช้วัสดุ รายละเอียดทั้งบัว คันทวย ผนังฝาประกน ช่องแสงด้านข้าง มีการลดหลั่น
ผนังตามระดับความสูงของหลังคา ด้านในก็มีพระพุทธรูปประดิษฐานขนาดไม่ใหญ่มากเดินดูถ่ายรูปกันเล็กน้อย อ.จิ๋วก็เรียกไปชี้แจงถึงประเด็นสำคัญของวัดแห่งนี้ ข้าพเจ้านั่งฟังไปหาวไปรู้สึกว่าวันนี้กลับที่พักจะต้องรีบนอนเลยไม่งั้นพรุ่งนี้จะรู้สึกไม่พร้อมแบบวันนี้แน่ๆเลย ครั้งนี้ฟังแบบเข้าหูขวาทะลุหูซ้ายแบบสุดๆแต่พื้นที่ที่เรานั่งอยู่นั้นมีหลังคาคลุมทำจากวัสดุพื้นถิ่นคือไม้ไผ่
มุงด้วยใบอะไรซักอย่าง เป็นเครื่องผูกสมบูรณ์แบบจริงๆ พอ อ.จิ๋วพูดเสร็จเราก็ไปถ่ายรูป เดินสำรวจกันเล็กน้อยแล้วก็ออกเดินไปตามถนนอีกหน่อยเลี้ยวหัวมุมก็เจอกับโรงแรม U เชียงใหม่
ที่มีผนังคอนกรีตสีขาววางกั้นเป็นทางเข้า เข้าไปอีกนิดเราก็เห็น อ.ทรงไทยสีไม้ทึมๆเหนือกำแพงดูโบราณ ขัดกับผนังคอนกรีตที่ดูแล้วสมัยใหม่มากๆทางด้านซ้าย
ของประตูทางเข้าใหญ่นั้นเป็นหน้าต่างกรอบไม้สีน้ำตาลลูกฟักกระจกความสูงประมาณคนยืนข้างในของกระจกน่าจะเป็นส่วนนั่งรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มมีฝรั่ง2-3นั่งอยู่เห็นพวกเรามากันก็คงงงว่ามาทำอะไรกันเยอะแยะ อ.เจ็งกับ อ.จิ๋ว เสริมให้ว่าเจ้าของที่มา
ทำโรงแรมนี้คือเจ้าของเครือธนายงที่ทำทางด่วนถนนอะไรเทือกนั้น โดยที่นี้เป็นที่ของเจ้านายเก่าทางภาคเหนือเรือนไม้เก่าที่เห็นก็คือของเจ้านายท่านนั้น เมื่อมีการปรับปรุงเป็นโรงแรมก็ยังคงรักษาอาคารหลังเก่าไว้เพื่ออนุรักษ์และสอดแทรกสถาปัตยกรรมสมัยใหม่เข้าไปด้วยอย่างไม่ขัดเขินซึ่งไม่ใช่เพียงเรือนเก่าเท่านั้นแต่ในส่วนต่างๆก็มีรายละเอียดแบบไทยเข้าไปร่วมอยู่ด้วยแสดงให้เห็นว่าเพียงแค่เรารู้จักการประยุกต์ ของเก่าก็ใช่ว่าจะตกยุคหรือของไทยก็ใช่ว่าจะล้าสมัย ไม่ต้องไปวิ่งตาม Saha Hadid, Herzog De Meuron, Rem Koolhaas หรือสถาปนิกร่วมสมัยท่านอื่นๆเราก็มีสถาปัตยกรรมร่วมสมัยที่อยู่บนฐานของความเป็นไทยไม่ทิ้งรากเหง้าแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธกระแสของโลกดังที่ อ.จิ๋วพยายามสั่งสอนพวกเราอยู่เสมอ ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่เราต้องยึดเป็นหลักในการเรียนรู้แบบไม่ประมาทว่าเรามีวัฒนธรรม และวิถีแบบไทยการเรียนรู้ตามสากลเป็นเรื่องที่ถูกต้องแต่เพียงเรานำมาพัฒนาบนรากฐานของเราจนกลายเป็นแบบของเราแบบไทยๆดังเช่นที่เห็นได้ชัดจากญี่ปุ่นที่พยายามใส่วิถีแบบของตัวเองลงไปในการออกแบบ จนสถาปนิกหลายๆคนของญี่ปุ่นได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดของสถาปนิกโลก ถ้าเราทำได้สักวันต้องมีสถาปนิกไทยได้ Pritzker Prize อย่างแน่นอน อาจจะฝันไกลแต่ข้าพเจ้าคิดว่าไม่น่าจะยากกว่า “บอลไทย ไปบอลโลก” มั่นใจได้ การชมโรงแรมยูนี้ทำได้เพียงเดินถ่ายรูปอยู่ภายนอกและเดินเข้าไปได้แค่ส่วน Lobby เท่านั้น แต่ส่วนที่น่าสนใจมากๆคือทางเข้าด้านหน้าที่ติดถนนนั้นตั้งศาลพระภูมิที่เราเห็นตามบ้านอยู่ อ.เจ็งถึงกับบอกว่า “เป็นผมก็คงไม่กล้าทำ” แล้วเราก็เดินกลับไปขึ้นรถเพื่อไปยังจุดหมายต่อไปนั่นคือวัดทุ่งอ้อ
ซึ่งพระที่วัดนี้ท่านบอกว่าอายุของโบสถ์ที่เราเข้าไปดูกันนั้นกว่า 100 ปี โบสถ์ของวัดนี้มีความแตกต่างจากวัดอื่นที่เป็นลักษณะล้านนาที่เราไปมาหลายที่ค่อนข้างมากคือ
ตัวโบสถ์ขนาดค่อนข้างเล็กและยกฐานสูงเมื่อเทียบกับขนาดโบสถ์ทำให้สัดส่วนดูแปลกตากว่าที่อื่นๆ บวกกับปั้นลมปูนปั้นฉลุตกแต่งลวดลายตัวเหงาดูแปลกตา แต่เมื่อมามองภายนอกก็จะเห็นถึงความสวยงามของสัดส่วนที่ก็ดูเหมาะสมสวยงาม การลดระดับของผนังคอนกรีตด้านข้างตามระดับความสูงของหลังคาทำให้รูปด้านไม่ดูตันเกิด dymanic ที่สำคัญคือบันไดทางขึ้นด้านหน้าตัวระเบียงทางขึ้นนั้นมีขนาดใหญ่และหนามากเมื่อเทียบกับขนาดของด้านหน้าโบสถ์และเมื่อเดินขึ้นไปยังเจอเสาแปดเหลี่ยมที่วางบีบทางเข้า
ด้วยระยะห่างน้อยกว่าระยะเสาด้านในเมื่อเดินผ่านเข้าไปก็จะพบกับ Space ที่ดูกว้างขวางกว่าที่เห็นจากด้านนอกเป็นการสร้างการรับรู้ที่ว่างอย่างแยบยล
เราก็ใช้เวลาอยู่ที่นี่กันสักพักหนึ่งกินน้ำกินท่าเรียบร้อยเราก็ขึ้นรถไปที่ต่อไป สถานที่ซึ่งข้าพเจ้ารอที่จะไปดูเพราะว่าเคยเห็นทางรายการทีวีช่อง 5 ช่วงเช้าวันเสาร์เลยทำให้อยากมาดูด้วยตัวเอง วัดต้นเกว๋นหรือวัดอินทราวาส ตำบลหนองควาย อำเภอหางดง เมื่อมาถึงก็พบกับกำแพงรั้วกั้นเปิดทางเข้าไว้พอให้รถผ่านเข้าไปได้หนึ่งคันแต่ไม่น่าจะให้รถเข้า เดินเข้าไปก็พบกับพื้นทรายเวิ้งว้างมีวิหารตั้งอยู่ตรงกลางพร้อมระเบียงคดรอบ ลักษณะวิหารมีความคล้ายคลึงกับวัดทุ่งอ้อแสดงว่าที่เชียงใหม่นี้มีการสร้างวิหารแบบล้านนาในลักษณะคล้ายกัน แล้วก็ไม่ผิดหวังที่รอคอยรายละเอียดต่างๆ โครงสร้าง สัดส่วน การจัดวาง วัสดุ ส่วนประกอบการตกแต่งลวดลายต่างๆดูแล้วมีความสมบูรณ์มาก จนข่าวดีก็มาถึง อ.ไก่ให้นศ.ที่ขาดในรายวิชา Profess.1 ครั้งตัดโมเดลตัวมณฑปส่งด้วยแต่ก็ไม่น่าจะเป็นไรมากเพราะมีพวกเดียวกันกับเราเยอะช่วยๆกันทำเดี๋ยวก็คงเสร็จ ข้าพเจ้าก็เลยนั่งทำความเข้าใจโครงสร้างของหลังคาศาลานี้อย่างตั้งใจทั้งลองเขียนถ่ายภาพไว้จนจ๊ะเอ๋กับสัตว์โลกที่เกลียดมากที่สุด ตุ๊กแกตัวเขื่องเกาะอยู่ตรงขื่อหน้าตาน่ากลัวมาก พอนั่งอยู่ใต้ศาลาสักพัก อ.จิ๋วก็เรียกให้เข้าไปด้านในวิหารเพื่อทำการชี้ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญในวิหารแห่งนี้คือเพดานที่สร้างการรับรู้ต่างกันเมื่ออยู่ที่ด้านทางเข้ามองมาที่พระประธานกับมองออกนอกพระประธาน ซึ่งถ้าจะอธิบายเป็นภาษาเขียนเห็นที่ว่าจะทำให้เข้าใจไม่ได้จึงขอให้ดูจากภาพเบลอๆแทน แต่สิ่งที่ทำให้เกิดการรับรู้ลักษณะนั้นเกิดจากการลดระดับชั้นหลังคา สี และช่องที่หน้าบันระหว่างขื่อตุ๊กตานั่นเอง การอธิบายของ อ.จิ๋วนั้นไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนอย่างแน่นอน การวิ่งไปวิ่งมาเพื่อตาม อ.จิ๋ว ที่พยายามให้เราเห็นอย่างที่ควรเห็นสร้างความประทับใจให้ข้าพเจ้าอย่างมาก มันแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของครูที่ต้องการสอนลูกศิษย์ให้เข้าใจอย่างแท้จริงซึ่งหาได้ยากแล้วในรั้วมหาวิทยาลัยที่จะมี อ.ผู้สอนจิตใจเยี่ยงนี้ แต่ข้าพเจ้าก็มีความภาคภูมิใจที่ในภาควิชาเรามี อ.ลักษณะอย่างนี้อยู่มากไม่แพ้ที่ใดแต่บางทีเรามองข้ามไปเพราะปัจจัยหลายๆอย่าง จบจากวัดต้นเกว๋นเราก็ไปต่อที่โรงแรมราชมรรคาเป็นโรงแรมแบบบูทีคคล้ายกับโรงแรมยูเชียงใหม่แต่ต่างกันที่ไม่ได้เอาโมเดิร์นผสมกับของเก่า แต่เป็นการนำของเก่ามาเล่าใหม่ในแบบฉบับของสถาปนิกเจ้าของงานซึ่งก็คือคุณองอาจ สาตรพันธุ์ในอดีตเรียกได้ว่าเป็น Corbusian คือชื่นชมและเคารพ Le Corbusier จนนำวิธีและสัดส่วนโมดูเลอร์เข้ามาใช้ในงานออกแบบที่เห็นได้ชัดคือโรงเรียนปานะพันธุ์ แต่ในงานออกแบบโรงแรมนี้คุณองอาจนำเอาลักษณะ องค์ประกอบ และรายละเอียดแบบล้านนาเข้าไปใช้ในการออกแบบ เช่น วิหารที่เราไปมาในเชียงใหม่หลายๆที่คุณองอาจก็นำระเบียบแบบนั้นเข้ามาจับในการออกแบบอาคาร ผังต่างๆ พื้นที่เชื่อมต่อทุกอย่างล้วนเป็นการเอาของเก่ามาทำใหม่ด้วยวิธีแบบสมัยใหม่ อาจจะต่างไปจากโรงแรมยูอยู่บ้างที่ไม่ได้อนุรักษ์ของเก่าเอาไว้แต่เป็นการสร้างของเก่าขึ้นมาใช้ในสมัยนี้ได้อย่างมีความเคารพและเข้าใจอย่างถ่องแท้ ซึ่งทุกที่ในโรงแรมที่ข้าพเจ้าได้เข้าไปสัมผัสนั้นมีความสวยงามไปหมด เหมือนอยู่ในกลุ่มอาคารที่สงบนิ่งมากแต่ก็ไม่รู้สึกถึงขั้นศรัทธาเหมือนวัด แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก เรามีของดีที่สามารถนำมาใช้ได้อยู่แล้วเพียงแต่จะรู้หรือเปล่าว่าจะนำมาใช้อย่างไรกลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายและน่าสนใจในทัศนะของข้าพเจ้ามากกว่าการไล่ตาม Saha Hadid, Herzog De Meuron, Rem Koolhaas,UN studio อย่างแน่นอน จบวันนี้ด้วยความประทับใจอย่างมากมายแล้วเราก็ออกจากโรงแรมนี้ไปรับประทานอาหารเย็นกัน กลับที่พักมาเราก็อาบน้ำเตรียมตัวพักผ่อนส่วนข้าพเจ้าเก็บข้าวของพร้อมสำหรับออกวันพรุ่งนี้เพราะคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เราจะนอนที่เชียงใหม่ ก่อนนอนก็ขอโขกกับอั๋นสักกระดานจน อ.พรพุฒิเข้ามาดูความเรียบร้อยเท่านั้นแหละเลยไม่ได้นอนเร็วอย่างที่ตั้งใจแล้ว จบจากอั๋นก็เลยต้องเล่นต่อกับ อ.พรพุฒิ 2 กระดานซึ่งกระดานนึงนี่ปาเข้าไปเป็นชั่วโมงสุดท้ายก็ยันไม่อยู่ต้องยอมพ่ายแพ้ให้ อ.ไปในกระดานที่ 2 ถึงจะได้นอนเตรียมพร้อมกับการเดินทางวันพรุ่งนี้
วันที่ 5
8 กรกฎาคม 2552
ตื่นเช้ามาด้วยการปลุกของเพื่อนๆพร้อมกับความงัวเงียขั้นสุดยอดผลจากการแพ้ใจตัวเอง เหมือนทั้งๆที่รู้ว่าเช้ามาก็ไม่อยากตื่นแต่ก็ดันไม่ยอมนอนเพราะความสนุกชั่วข้ามคืน ลุกจากที่นอนแล้วก็อาบน้ำแปรงฟันอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ออกมาพร้อมขึ้นรถบัสอาจเป็นเพราะว่ารู้ว่าเช้านี้เราจะไปไหนในช่วงเช้า นั่นคือจะไปกินข้าวเช้าใน ม.เชียงใหม่นั่นเอง แล้วเป็นไง...โรงอาหารใน ม.ปิดเพราะวันนั้นเป็นวันหยุด วันสำคัญทางศาสนา แล้วเราก็กินข้าวริมถนนข้างๆ ม.เชียงใหม่ หลังจากจัดการรับประทานอาหารปลดทุกข์ปลดโศกเรียบร้อย เราก็นั่งรถไปที่วัดที่
8 กรกฎาคม 2552
ตื่นเช้ามาด้วยการปลุกของเพื่อนๆพร้อมกับความงัวเงียขั้นสุดยอดผลจากการแพ้ใจตัวเอง เหมือนทั้งๆที่รู้ว่าเช้ามาก็ไม่อยากตื่นแต่ก็ดันไม่ยอมนอนเพราะความสนุกชั่วข้ามคืน ลุกจากที่นอนแล้วก็อาบน้ำแปรงฟันอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ออกมาพร้อมขึ้นรถบัสอาจเป็นเพราะว่ารู้ว่าเช้านี้เราจะไปไหนในช่วงเช้า นั่นคือจะไปกินข้าวเช้าใน ม.เชียงใหม่นั่นเอง แล้วเป็นไง...โรงอาหารใน ม.ปิดเพราะวันนั้นเป็นวันหยุด วันสำคัญทางศาสนา แล้วเราก็กินข้าวริมถนนข้างๆ ม.เชียงใหม่ หลังจากจัดการรับประทานอาหารปลดทุกข์ปลดโศกเรียบร้อย เราก็นั่งรถไปที่วัดที่






ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น