วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

9 วันกับทริปอาจารย์จิ๋ว 9 สุดท้าย

บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ




วันที่ 9
12 กรกฎาคม 2552

ตื่นมาพร้อมกับความสดชื่นอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็ย้ายข้าวของลงมาเพื่อไปใส่ไว้ในรถ แล้วก็ข้ามไปกินข้าวที่ร้านเดิมเสร็จแล้วก็ออกเดินทางสู่กรุงเทพเมื่อถึงพิษณุโลกเราก็ไปที่วัดพระศรีมหาธาตุซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์สำคัญคู่บ้านคู่เมืองถึง 2 องค์คือพระพุทธชินราศ พระพุทธชินสีห์ และอีก 2 องค์คือพระพุทธศาสดา และพระอัฐารสซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีอิริยาบถยืนประดิษฐานอยู่ทางด้าน
ทิศตะวันออกของวัด รูปแบบของวัดนี้จะมีทางเข้าอยู่ทางด้านทิศตะวันตกซึ่งตามคติการสร้างวัดแบบสุโขทัยนั้นจะสร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันออกแต่ที่มีทางเข้าอยู่ทางทิศตะวันตกนี้เป็นเพราะมีการบูรณะและปรับปรุงใหม่ในสมัยอยุธยาคือจะหันหน้าไปทางแม่น้ำตามคติของทางอยุธยา เพราะว่าเมืองพิษณุโลกมีลักษณะเป็นเมืองอกแตกมีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน อีกทั้งเมื่อหันหน้าไปทางทิศตะวันตกทางขึ้นเดิมของเจดีย์จึงกลายเป็นว่าไปอยู่ด้านหลังคือทิศตะวันออก ผังของวัดก็ได้สเกตซ์มาคร่าวๆตามที่ อ.จิมมี่อธิบาย นอกจากนี้ระเบียงคดจะมี 2 ส่วนคือรอบฐานเจดีย์ตามคติแบบลังกา และล้อมแสดงเขตพื้นที่ของวัดตามคติแบบขอม ทำให้มีการวางพระพุทธรูปที่เปรียบเสมือนภิกษุสงฆ์ล้อมรอบฐานเจดีย์และอีกลักษณะคือวางพิงกำแพงด้านนอกของระเบียงคดส่วนที่ใช้เป็นเขตกำกับบริเวณของวัด ฉะนั้นเมื่อเราเดินไปทางด้านหลังที่เป็นทางเดินซ้อนทับกันของระเบียงคดทั้งสองแบบจะพบว่าพระพุทธรูปนั่งหันไปคนละทางและพบทางขึ้นไปสู่ด้านบนเจดีย์ ถ้าดูในผังที่วาดมาคร่าวๆก็จะเข้าใจง่าย เสร็จเราก็ข้ามถนนไปอีกวัดนึงคือวัดราชบูรณะเข้าไปในตัววิหารซึ่งเป็นลักษณะของวิหารแบบสุโขทัยแท้
อุโบสถของวัดราชบูรณะ

ไม่ตีฝ้าเพดานระนาบซับซ้อน เสริมด้วยจังหวะที่เกิดจากเส้นของกลอน และแป ในส่วนโครงสร้างหลังคานั้นมีแผ่นกระดานรับกลอนของชายคาปีกนก และด้วยระดับของโครงสร้างหลังคาที่ต่างกันทำให้เกิดการแบ่งห้วงของโถงกลางอย่างชัดเจน อีกส่วน
วิหารของวัดราชบูรณะ

ของวัดคือโบสถ์ที่ความสวยงามไม่เท่ากับวิหารอาจเป็นเพราะการบูรณะซ่อมแซมที่อาจไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดเท่าที่ควรทำให้เกิดเป็นอย่างที่เห็น เสร็จแล้วเราก็เดินข้ามสะพานลอยกลับไปกินข้าวกลางวันซื้อของฝากให้น้องและคนที่บ้าน
ภายในวิหารเห็นไม้กระดานรับกลอน
แต่ของฝากของตัวเองนั้นประทับใจมากคือ คมแฝก ราคา 90 บาทจาก 100 บาท เมื่อช็อปปิ้งเรียบร้อย เราก็ขึ้นรถเตรียมตัวมุ่งหน้าสู่ลาดกระบังรวดเดียว ขณะนั่งรถบัสในขากลับนี้ นอกจากกิจกรรมร้องเพลงที่เรานำมาทำแก้ว่างก็มีเหตุการณ์ชวนตื่นเต้นอย่างมากเกิดขึ้น คือเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งบอกความในใจกับเพื่อนผู้หญิงที่ตัวเองชอบซึ่งเค้ามีแฟนแล้ว ด้วยการร้องบอกเป็นเพลงไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับ นศ.ชั้นปีที่5 ก็เป็นเหตุการณ์ปิดท้ายทริปที่ตื่นเต้นมากๆ เราได้แวะซื้อโมจินิดหน่อยแล้วก็มุ่งตรงสู่ลาดกระบังจนมาถึงจุดหมายในเวลาเกือบ 5 ทุ่ม เหตุการณ์ปิดท้ายจริงเกิดขึ้นในช่วงที่เราช่วยกันเก็บกวาดของลงจากรถผลก็คือของฝากหายไปหนึ่งถุงเป็นโมจิและกาละแมจากพิษณุโลก จนวันนี้ก็ยังไม่เจอ แล้วเราก็แยกย้ายไปกินข้าวกลับหอนอนหมดแรง.....จบ

9 วันกับทริปอาจารย์จิ๋ว 8

บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ


วันที่ 8
11 กรกฎาคม 2552

วันนี้เราออกจากที่พักเร็วกว่าปกติเพื่อจะไปที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียงอีกครั้งเพื่อทำการเดินชมและถ่ายรูปอย่างเต็มที่ ก่อนไปก็ข้ามไปกินข้าวที่ร้านก๋วยจั๊บร้านเดิม เมื่อไปถึงวัด อ.จิ๋วก็ชี้แจงเกี่ยวกับที่นี่เล็กน้อย วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานของพระธาตุเชลียง
มีการสันนิษฐานว่าก่อนที่จะมาเป็นพระธาตุอย่างที่เราเห็นนี้คือเป็นลักษณะพระธาตุทรงแบบอยุธยาในสมัยที่สุโขทัยรุ่งเรืองน่าจะเป็นพระธาตุทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ซึ่งเป็นลักษณะที่แพร่หลายในสมัยสุโขทัยและเมื่อเข้าสู่ยุคของกรุงศรีอยุธยาได้มีการสร้างพระธาตุทรงอยุธยาครอบของเดิมโดยดูได้จากบัวขนาดใหญ่ด้านใน วัดพระศรีฯนี้ตั้งอยู่ด้านนอกห่างจากกำแพงด้านใต้ของเมืองศรีสัชนาลัยประมาณ 1.9 กม. ภายใน


บนซุ้มประตูทางเข้าวัด


วัดล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลงแท่งกลมปักเรียงชิดติดกันเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า ซุ้มประตูทางเข้าเป็นแบบปราสาทขอมยอดเป็นรูปพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 4 พักตร์ ระเบียงคดรอบฐานพระปรางค์มีหลายชั้นแยกระดับของภิกษุ พุทธศาสนิกชน มีความคล้ายคลึงกับที่นครศรีธรรมราชสามารถเรียกได้อีกอย่างว่าทับเกษตร และที่สำคัญคือพระพุทธรูปปางลีลาที่อยู่ทางด้านซ้ายของพระประธานมีความสวยงามในระดับโลกแสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้ปั้นที่มีความเลื่อมใสเข้าใจในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากจนสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นรูปธรรมได้อย่างดีมาก แล้วก็เดินถ่ายรูปกันเรื่อยไปจนได้เวลาต้องย้ายที่ เราก็ไปต่อกันที่วัดต่อไปคือวัดกุฎีรายซึ่งเหลือเพียงมณฑป 2 หลัง สิ่งที่น่าสนใจคือเป็นอาคารก่อด้วยศิลาแลงทั้งหลังรวมทั้งหลังคาที่มีรูปทรงจั่วล้อเลียนหลังคามุงกระเบื้อง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นกิริยาแบบนั่ง และอีกอย่างคือมีการก่อซุ้มประตูแบบกรีก Early period อีกแล้ว เมื่อเสร็จภารกิจที่นี่เราก็ไปต่อที่วัดมหาธาตุความประทับใจครั้งแรกที่ได้เห็นคืออาณาบริเวณกว้างขวางมากและโบราณสถานที่เหลืออยู่ยังมีร่องรอยแห่งความสวยงามอยู่มาก พื้นที่ส่วนประธานของวัดมีเจดีย์ประธานแวดล้อมด้วยเจดีย์บริวารแปดทิศ การเดินเพื่อชมวัดนี้มีประเด็นเกี่ยวกับการวางทางเดินและความรู้สึกที่เกิดเมื่อเดินผ่านแล้วต้องเลี้ยวหรือเดินไปต่อทางไหน ทางเดินแคบบ้าง ใหญ่บ้างกับอาคาร เจดีย์ต่างๆที่วางเรียงรายอย่างมากมาย พระพุทธรูปปรางกิริยายืนที่มีผนังโอบล้อมอย่างแคบๆเกิดเป็น space ต่างออกไปจากที่พระพุทธรูปตั้งอยู่กับอากาศธรรมดาแบบที่เราเห็นทั่วไปเกิดเป็นการสร้างจุดเด่นทำให้รับรู้อีกแบบหนึ่ง พวกเราก็เดินกันไปถ่ายภาพกันไปแบบร้อนมากเพราะวันนี้แดดเปรี้ยงจริงๆเพราะว่าเป็นวัดใหญ่ทำให้องค์ประกอบในวัดนั้นมากมายให้ได้ดูกันอย่างเต็มที่ พอเราเสร็จจากวัดมหาธาตุเราก็ไปต่อกันที่วัดศรีสวายซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวัดมหาธาตุ ใกล้กับกำแพงเมืองสุโขทัยด้านทิศใต้ โบราณสถานสำคัญประกอบไปด้วยปรางค์ 3 องค์มีรูปแบบของขอมลักษณะของปรางค์ค่อนข้างเพรียวมีลวดลายปูนปั้นบางส่วนคล้ายกับของจีน พบทับหลังสลักเป็นรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ ชิ้นส่วนของเทวรูปและศิวลึงค์ ด้านหน้ามีวิหาร 2 หลังสร้างเชื่อมต่อกัน ล้อมบริเวณวัดด้วยกำแพงก่อศิลาแลง ยอดพระปรางค์ที่มีการสลักลวดลายใช้การ fade out จากด้านล่างชัดเจนเห็นรายละเอียดมากสุดพอค่อยๆสูงขึ้นไปก็ลดทอนรายละเอียดลง เมื่อเสร็จแล้วเราก็ไปที่ศูนย์เผยแพร่ความรู้ประวัติศาสตร์สุโขทัยขณะนั้นเองความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเข้าจู่โจมแบบเต็มที่ อาจเป็นเพราะตื่นเช้าด้วยแล้วก็เดินกลางแดดร้อนแรงด้วย พอมาถึงที่นี่ก็ไม่มีแรงรับข้อมูลแล้วเดินไปเดินมาในอาคารสักพักพี่วิทยากรก็มาถึงและบรรยายประวัติศาสตร์สุโขทัยให้ฟัง ช่วงเวลานั้นข้าพเจ้าขอกินแรงเพื่อนเล็กน้อยแอบงีบบนโซฟาจนพี่เขาบรรยายเสร็จ ตื่นมาก็ไปถ่ายรูปเดินดูบริเวณสักหน่อย ตัวอาคารเป็นรูปแบบสุโขทัยวัสดุมีทั้งคอนกรีตและไม้แต่ก็มีรายละเอียดที่น่าสนใจอยู่เช่นตัวเหงาขนาดใหญ่กว่าปกติ บัวหัวเสาที่ไม่เคยเห็นแต่ก็ดูสวยงามเข้าสัดส่วน และการวางสัดส่วนอาคารที่ดูเหมาะสมกลมกลืน แล้วก็ไปต่อกันอีกที่วัดพระพายหลวงซึ่งมีลักษณะของขอมอย่างชัดเจน สันนิษฐานว่าก่อสร้างก่อนตั้งสุโขทัยเป็นราชธานี ที่เสาวิหารยังเห็นช่องสำหรับใส่ขื่อวางเต้าหลงเหลืออยู่ และมีวิหารพระสี่อิริยาบถและมณฑปอยู่ใกล้ๆกัน ลักษณะมณฑปก่อสร้างเป็นแกนรอบแกนประดิษฐานพราะพุทธรูปขนาดใหญ่ใน 4 อิริยาบถคือ เดิน นั่ง และยืน แต่ที่เหลือให้เห็นนั้นน้อยจนดูแทบไม่ออก วัดต่อไปที่เราไปกันก็เรียกว่าเป็นไฮไลท์ของวันนี้ได้เหมือนกัน คือ วัดศรีชุม ด้วยแสงอ่อนๆของแดดเวลาเย็นประกอบกับอาคารทรงสี่เหลี่ยมตันเจาะช่องขนาดใหญ่พอให้เห็นส่วนของพระพุทธรูปอิริยาบถนั่งขนาดใหญ่เท่าตึก 4 - 5 ชั้นที่ประดิษฐานอยู่ภายใน ก็ทำให้เกิดเป็นภาพที่สวยงามเหมาะกับเป็นวัดสุดท้ายของวันนี้อย่างแท้จริง รูปแบบของอาคารก็จะมีวิหารอยู่ด้านหน้าอาคารสี่เหลี่ยมตันขนาดใหญ่นั้นเองเราก็บันทึกภาพกันจนพอประมาณแล้วก็มาซื้อของชำร่วยกันที่ร้านหน้าทางเข้าวัดซึ่งเรียกว่าเหมากันจนหมดร้าน ของที่ซื้อก็จะนำไปฝากน้องรหัสของแต่ละคนนั่นเอง ส่วนข้าพเจ้าไม่ได้ซื้อเท่าไหร่เพราะกลัวซ้ำกันมากๆเดี๋ยวน้องเบื่อ ภารกิจเสร็จสิ้นก็เป็นการจบการเดินทางชมโบราณสถานสุโขทัยในวันนี้อย่างสวยงาม เป็นวันที่เหนื่อยมากที่สุดวันหนึ่งก่อนเราจะกลับโรงแรมก็แวะกันที่จุดชมวิวบนสันเขื่อนอะไรก็จำชื่อไม่ได้ ถ่ายรูปแบบมืดๆไปจนพอใจกันก็ขึ้นรถพี่แป๊ะกลับสู่ที่พัก เดินไปกินข้าวที่ร้านเดิมที่กินทุกวันตั้งแต่มาสุโขทัยอิ่มแล้วก็กลับห้องพัก เตรียมข้าวของเพื่อพร้อมที่จะกลับกรุงเทพในวันพรุ่งนี้ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เข้านอนเตรียมตัวสู่วันพรุ่งนี้

9 วันกับทริปอาจารย์จิ๋ว 7






















บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ










วันที่ 7
10 กรกฎาคม 2552

วันนี้หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็ข้ามถนนไปกินข้าวอีกฝั่งถนนก่อนที่จะเดินทางไปที่สนามบินสุโขทัย เมื่อไปถึงก็เริ่มฟังการบรรยายจาก อ.จิ๋วและตามด้วยพี่ปูผู้มาเป็นวิทยากรให้เราเข้าใจถึงอาคารสนามบินนี้ซึ่งพี่ปูจบโบราณคดีจากศิลปากรแล้ว
มาทำงานดูแลที่นี่ สนามบินสุโขทัยเป็นสนามบินเฉพาะของสายการบินบางกอกแอร์เวย์คือมีเฉพาะสายการบินนี้ที่มาลงที่นี่ ออกแบบโดยบริษัทสถาปนิก Habita อาคารสนามบินนี้ได้รับรางวัลเกี่ยวกับการจัดการอาคารดีเด่นเช่นไม่สร้างมลภาวะจากสมาคมสถาปนิกสยามติดต่อกัน 4 ปี(มั้ง) รูปแบบของอาคารเป็นทรงไทยแบบล้านนา ซึ่งผู้ออกแบบมีความตั้งใจที่จะล้อเลียนลักษณะไทยโดยเฉพาะลักษณะสุโขทัยแต่ไม่ได้ถอดลักษณะสุโขทัยมาตามโบราณคดีแต่เข้าใจในลักษณะและรูปแบบเช่น ความลาดของหลังคา กระเบื้องเป็นยังไง วิหารเป็นยังไง ดูได้จากเสาของอาคารผู้โดยสารขาออกที่เรายืนอยู่ที่มีการลดทอนรายละเอียดจากเดิมของสุโขทัยที่มีการประดับบัวเหลือแค่เสากลมดังที่เห็น หรือในส่วนของหลังคาแทนที่จะใช้ม้าต่างไหมแต่กลับมาใช้จันทันแล้ววางระแนงวางแปเหมือนลักษณะธรรมดาแต่ตัวขนาดไม้เล็กลงและมีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาประกับชิ้นส่วนเข้าด้วยกันด้วยไม้และเหล็กแสดงให้เห็นถึงการใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างสมัยใหม่เข้าไปร่วมด้วย ผนังรูปแบบสุโขทัยนั้นจะมีการฉาบด้วยปูนแต่ที่นี่เป็นผนังโชว์แนวอิฐซึ่งมาจากการที่ศึกษาจากโบราณสถานแล้วเห็นระเบียบของอิฐที่เหลืออยู่เกิดความประทับใจจึงนำมาใช้ก็เข้ากันได้ไม่เคอะเขิน ทั้งหมดทั้งปวงได้แสดงให้เห็นถึงการเข้าใจภูมิปัญญาของอดีตแล้วนำมาแก้ไขบางรายละเอียดด้วยความรู้ของปัจจุบัน และด้วยความเข้มแข็งของอดีตรายละเอียดของปัจจุบันจึงถูกปิดบังซ่อนอยู่ในระเบียบของอดีตนั้นนั่นเอง ด้วยความที่เป็นอาคารที่ออกแบบมาเพื่อประหยัดพลังงานด้วย ตัวอาคารส่วนใหญ่จึงไม่มีการกั้นผนังและติดแอร์ เครื่องลำเลียงกระเป๋าแบบสายพานก็ไม่มีเพราะผู้โดยสารที่มาลงนั้นมีไม่มากก็ใช้พนักงานช่วยกันขน ในส่วน Lounge ของอาคารผู้โดยสารมีระบบรดน้ำบนหลังคาเพื่อลดอุณหภูมิ เป็นต้น การจัดวางผังของกลุมอาคารรวมไปถึงแลนด์สเคปอิงคติในแบบสุโขทัยและล้านนา เช่น การวางเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ให้เห็นลักษณะของสุโขทัย ศาลาท่าน้ำสำหรับต้อนรับผู้โดยสารขาเข้าเลียนแบบสมัยโบราณที่มีการสัญจรทางน้ำ พวกเราก็นั่งรถสำหรับผู้โดยสารในการชมบริเวณสนามบินและพี่ปูก็คอยอธิบายในทุกที่ที่เราไปอย่างไม่กลัวแดดเพราะแดดร้อนมาก แต่ส่วนที่น่าสนใจและน่าจะสำคัญที่สุดในทัศนะของข้าพเจ้าน่าจะอยู่ที่การจัดการสภาพแวดล้อมที่ตั้งอยู่ให้อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ไม่ว่าจะพื้นที่ทำการเกษตร เลี้ยงสัตว์ถึงขนาดเป็นสวนสัตว์ การอยู่ร่วมกันกับชาวบ้านที่ไม่ได้ไปสร้างอย่างเดียวแต่ก็คืนพื้นที่ให้ชาวบ้านได้เข้ามาทำการประกอบอาชีพเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วย เห็นแล้วก็นึกถึงสุวรรณภูมิดินแดนที่ราบลุ่มชุ่มน้ำแหล่งระบบนิเวศน์ที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในภาคกลางซึ่งเดี๋ยวนี้ถูกทับด้วยรันเวย์ยาวที่สุดและเสี่ยงจะแตกร้าวมากที่สุดเหมือนกัน ถ้าได้คำนึงถึงข้อสำคัญแบบเดียวกันนี้กับสนามบินสุโขทัยก็น่าจะดี หลังจากเยี่ยมชมทั้งส่วนสนามบินและส่วนโรงแรมและส่วนอื่นๆเราก็มารับประทานอาหารที่ส่วนร้านอาหาร นานมากๆกว่าจะได้กินแต่ละจานนานอย่างไม่น่าเชื่อทำให้เราใช้เวลาอยู่ที่สนามบินสุโขทัยนี้นานขึ้น แล้วจากสนามบินเราก็ไปกันที่ศูนย์ศึกษา – อนุรักษ์เตาสังคโลกที่นี่ อ.จิ๋วปล่อยให้ อ.น้ำเป็นผู้นำทริป เป็นอาคารที่น่าสนใจเหมาะจะนำมาเป็นอาคารตัวอย่างสำหรับ Thesis ข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และที่นี่ก็เป็นอีกที่ที่เป็นการนำเอาระเบียบแบบสุโขทัย – ล้านนาเข้ามาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ อย่างแรกที่ อ.น้ำชี้ให้เห็นคือการแก้แนวเอียงของตัวอาคารด้วยเส้นรั้วยึดขอบที่เรียกว่า Blend ทำให้ถนนกับตัวอาคารไปด้วยกันได้ ด้วยความที่ผู้ออกแบบเป็นภูมิสถาปนิกการออกแบบทางเดินให้มีการเดินเข้า-ออก เข้า-ออก ทำให้รู้สึกว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง รูปลักษณ์ของอาคารใช้ช่องตั้ง ประตู หน้าต่าง คล้ายๆกับที่เราได้ไปดูกันที่เชียงใหม่ การใช้ผนังก่ออิฐ รั้วศิลาแลง พวกเราก็เดินดูกันจนสาแก่ใจก็บังเอิญมีกลุ่มของนักศึกษา ม.หัวเฉียวเข้ามาดูด้วยก็ป๊ะกันแต่ก็ต้องจากกันด้วยความรวดเร็วเพราะเรายังมีที่ต้องไปต่ออีก ซึ่งต่อไปก็จะกลายเป็นเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์คือเข้าสู่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ที่แรกที่เข้าไปก่อนคือวัดเจดีย์เก้ายอดเราก็ได้เดินเข้าไปถ่ายรูปและสัมผัสการรับรู้ในการออกแบบของคนสมัยก่อนที่สามารถออกแบบให้สามารถอยู่ร่วมกันกับธรรมชาตออย่างกลมกลืน ส่วนตัวแล้วข้าพเจ้าคิดว่าการมาเยี่ยมชมโบราณสถานนั้นสนุกตรงที่เราได้เห็นอดีต ซากปรักหักพังที่ชวนให้จินตนาการถึงภาพในอดีตของสถานที่นี้ว่าจะเคยเป็นอย่างไรมา ภาพอาคารที่เคยตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ผู้คนที่เคยใช้งาน การได้เยี่ยมชมโบราณสถานสำหรับข้าพเจ้านั้นเป็นไฮไลท์ในการมาทริปครั้งนี้เลยทีเดียว ในการมาถึงที่อุทยานฯศรีสัชนาลัย อ.จิ๋วก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวคร่าวๆเกี่ยวกับที่นี่ก่อนว่าเป็นเมืองลูกหลวงของสุโขทัย ในกาลก่อนนั้นกษัตริย์ที่จะครองสุโขทัยได้ต้องมาครองเมืองลูกหลวงหรือศรีสัชนาลัยนี้ก่อนซึ่งทั้ง 2 เมืองเปรียบเป็นดังเมืองพี่เมืองน้องกันมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ส่วนวัดเจดีย์เก้ายอดนี้ก่อสร้างด้วยศิลาแลงบนระดับของ contour สิ่งน่าสนใจของคือระเบียบของการก่อเจดีย์ด้วยการทำ Wall bearing ด้านในเจดีย์จะเป็นโพรงโปร่งหมดโดยเฉพาะทางเข้ามีการก่อเป็นช่องทางเข้าแล้วเอาแผ่นศิลาแลงสามเหลี่ยมมายันกันคล้ายกับกรีกยุค Early period ที่ก่อทางเข้าเป็นรูป Arch แล้วที่ด้านบนสุดมีหินสามเหลี่ยมซึ่งเรียกว่าอะไรก็จำไม่ได้เสียบเอาไว้เพื่อให้เกิดเป็นแรงอัดทำให้ทรงตัวอยู่ได้แล้วที่นี่ศรีสัชนาลัยก็มีการทำเช่นเดียวกัน อีกสิ่งที่น่าสนใจคือการสร้างอาคารบน contour โดยใช้ศิลาแลงก่อลดหลั่นต่างกันแล้วเชื่อมศิลาแลงเข้ากับฐานอาคาร ค่อยๆวางยักเยื้องเพื่อปรับระดับจาก contour เข้าสู่ระนาบราบอย่างแนบเนียน เราก็ทำการเดินชมและบันทึกภาพไว้แล้วก็ย้ายขบวนต่อไปที่ส่วนอุทยานฯศรีสัชนาลัยโดยต้องผ่านกำแพงเมืองและป้อมประตูชื่อว่าป้อมและประตูรามณรงค์ ซึ่งเป็นป้อมประตูทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง ในช่วงที่เราเดินผ่านประตูเมืองเข้าไปนี้ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาค่อนข้างหนักทีเดียว แต่ก่อนยืนหลบกันอยู่สักพักฟ้าก็เริ่มสว่าง สามารถเริ่มดำเนินการกันต่อไปได้ ซึ่งก็เป็นการเดินชมซากปรักหักพังที่ยังคงเหลือร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองในอดีตและบันทึกภาพไว้ในเมมโมรี่การ์ดของกล้องของแต่ละคน ในเมืองเราก็เดินเข้าไปสัมผัสหลายๆที่ เช่น วัดนางพญาที่มีชื่อเสียงว่าลวดลายปูนปั้นประดับผนังของวิหารมีชื่อเสียงว่างดงาม เจดีย์เจ็ดแถว วิหารหลวง กำแพงที่ก่อด้วยศิลาแลงไม่สูงเกินหัว การเจาะช่องหน้าต่างตามตั้ง ในช่วงนี้ก็ถึงคราววิกฤตของข้าพเจ้าคือกล้องแบตหมดทั้งๆที่เหลือที่ที่ต้องไปอีกหลายที่จะใช้กล้องฟิล์มแสงแดดก็ค่อยๆหมดไม่กล้าถ่ายมากเพราะกลัวภาพออกมาจะเบลอจากแสงไม่พอ กลายเป็นว่าเดินไปสัมผัสบรรยากาศและดูโบราณสถาน พยายามมองให้เห็นแบบที่ อ.จิ๋วและ อ.น้ำ ชี้เอาไว้ทั้ง space ,circulation ,sequence และอื่นๆที่เกิดจากการออกแบบอาคารในสมัยก่อนและเหลือทิ้งเอาไว้ให้เราได้สัมผัสและทำความเข้าใจในยุคปัจจุบัน ตัวข้าพเจ้าเองก็ตั้งใจบ้างเล่นบ้างแต่ก็พยายามที่จะทำความเข้าในในหลากหลายประเด็นที่ อ.ทิ้งเอาไว้ไม่รู้ก็ถามบ้าง เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็คิดว่าสักวันคงต้องมาเองอีกสักครั้งหนึ่งเพื่อจะได้มีเวลาอยู่กับมันให้มากกว่านี้ เราก็ไปถ่ายรูปกันจนมืดมากแล้วซึ่งที่สุดท้ายนั้นมืดจนแทบไม่มีแสงคือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง มองอะไรก็ไม่เห็นที่สุดก็ต้องกลับแล้วมาต่อกันในวันพรุ่งนี้เช้ามากๆ อ.น้ำบอกว่าตื่นตี 5 กลับไปที่พักข้าพเจ้าก็รีบจัดแจงตัวเองให้พร้อมสู่การเดินทางวันพรุ่งนี้ที่น่าจะต้องใช้สมองและใจอย่างเต็มที่แน่นอน

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

9 วันกับทริปอาจารย์จิ๋ว 6

บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ



วันที่ 6
9 กรกฎาคม 2552

วันนี้เป็นวันที่สดใสอีกครั้งเพราะจะไปกินข้าวเช้ากันใน ม.เชียงใหม่ อีกครั้งและคราวนี้ก็ไม่น่าพลาดเพราะวันนี้เค้าเปิดเรียนกันแล้ว ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเป็นมื้อ อ.ที่มีความสุขที่สุดครั้งนึงในการมาทริปนี้ไม่น่าเชื่อว่าเด็กๆ ม.เชียงใหม่ นี้จะขาวกันได้ทุกคนแทบจะไม่เห็นคนผิวสีเดียวกันกับเราเลย แล้วเหมือนฟ้าผ่าได้พบเจอคนที่ถูกใจอย่างแปลกประหลาดแต่ก็เป็นเหมือนดอกไม้ที่เราได้แต่ชมสัมผัสไม่ได้ ไหนๆมาแล้วก็ขอเดินเยี่ยมชมภายในบริเวณอาคารข้างเคียงสักเล็กน้อย พบว่าอาคารสร้างบนคอนทัวร์เดินสนุกดีผู้คนก็แตกต่างจากลาดกระบังจนไม่อยากจะกลับ แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราและแล้วเราก็ต้องไปต่อที่ที่ไม่ไกลจาก ม.เชียงใหม่มากนักคือสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม เป็นที่อนุรักษ์บ้านพื้นถิ่นเก่าแบบล้านนา หรือเรือนขนาดใหญ่ขึ้นมาซึ่งเป็นของเก่าย้ายนำมาตั้งไว้ในพื้นที่นี้ ขณะนั้นฝนก็ตกลงมาพอดีพวกเราจึงจำต้องเข้าไปหลบฝนในเรือนไทลื้อ จากตำบลหลวงเหนือ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ แล้วฟังที่ อ.จิ๋วบรรยายเล็กน้อยก่อนไปเดินชมและถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก นอกจากเรือนไทลื้อนี้เราก็เดินชมอีกหลายๆเรือน ไม่ว่าจะเรือนที่เป็นยุ้งฉาง เรือนชาวเวียงเชียงใหม่(พญาปงลังกา)เป็นเรือนไม้ขนาดกลางซึ่งเดิมตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองเชียงใหม่แต่เจ้าของอนุญาตให้รื้อย้ายมาตั้งไว้ที่นี้ เรือนพื้นถิ่นแม่แตงเป็นการพัฒนามาจากเรือนเครื่องผูกแบบเรือนเดี่ยว เรือนทรงปั้นหยาของหลวงอนุสารสุนทรและอีกหลายๆเรือนนั้นมีความสวยงามน่าสนใจแตกต่างกันไปตามโครงสร้าง ผัง วัสดุ รูปแบบ ลักษณะต่างๆ ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าถ้ามีบ้านแบบนี้สักหลังก็คงจะดีเอาไว้ให้แม่อยู่ตอนแก่ พอเสร็จจากที่นี่เราก็ไปต่อโดยแวะกินข้าวที่ริมถนนเหมือนวันแรกที่มาเชียงใหม่ อิ่มแล้วเราก็ไปกันที่หมู่บ้านแบบพื้นถิ่น ชื่อบ้านแม่จอกนอกเราก็เดินตาม อ.จิ๋วไปบ้างเดินเล่นบ้างข้าพเจ้าเองรู้สึกว่าเริ่มเบื่อๆการถ่ายรูปบ้างนิดหน่อยทำให้ต้องคิดหาการถ่ายแนวทางใหม่ๆบ้างเพื่อสร้างความสนุกสนานในการทำงาน ลักษณะของการเข้าไปชมในหมู่บ้านนี้ก็จะเริ่มเป็นการเดินตามใจมากกว่า แต่ก็รับรู้ได้ถึงวิถีชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติ การประกอบอาชีพแบบพอเพียง เช่น การเกษตร ปศุสัตว์ โครงสร้างอาคารแสดงออกมาจากการใช้สอยที่จำเป็นจริงๆ บางบ้านมีการติดจานดาวเทียมอันใหญ่มากถ้าเทียบกับจานแดงของทรู ซึ่งมันก็อยู่ด้วยกันได้ทั้งเทคโนโลยีวัสดุสมัยใหม่กับบ้านไม้อายุน่าจะเก่าแก่ที่มีร่องรอยของกาลเวลาฉาบอยู่ ข้าพเจ้าเองก็เริ่มเดินถ่ายรูปเล่นกับเพื่อนบ้างถ่ายผู้คนบ้างมีหยุดวาดรูปตรงสะพานข้ามแหล่งน้ำสายหนึ่งห่างออกไปจากสะพานที่ยืนอยู่เห็นคุณป้านุ่งผ้าถุงนั่งซักผ้าอยู่ ดูแล้วเป็นภาพที่มีความเป็นธรรมชาติโดยทีมนุษย์อยู่ร่วมด้วยอย่างพึ่งพานึกแล้วอยากมีสถานที่แบบนี้ให้ได้ไปพักผ่อนหลบลี้จากชีวิตวุ่นวายในเมืองบ้าง ซึ่งความจริงก็เคยมีแต่บัดนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วเกิดจากสภาพสังคม เศรษฐกิจบีบคั้นทำให้ไม่สามารถรักษาของสำคัญที่มีค่าในช่วงชีวิตหนึ่งเอาไว้ได้ ข้าพเจ้าจึงตั้งปณิธานไว้ว่าสักวันเราต้องมีแบบนี้ให้แม่อยู่บ้าง พอเดินจากสะพาน อ.ไก่ก็ชี้ทางไปที่ฝายของแหล่งน้ำเมื่อกี้ เมื่อไปถึงก็สนุกกันเลยถ่ายรูปกันทุกมุมเล่นน้ำกันพอให้ชุ่มฉ่ำเสร็จจากที่นี่เราก็เดินทางไปขึ้นรถเพื่อไปต่อที่จุดหมายต่อไปจังหวัดต่อไป สุโขทัยดินแดนประวัติศาสตร์อันยาวนานของไทย ด้วยที่วันนี้เราต้องเข้าห้องพักที่โรงแรมแห่งใหม่ก็คาดหวังไว้ในใจว่าห้องพักจะดีใกล้เคียงกับที่ลำปาง เมื่อไปถึงก็ไม่ผิดหวังถึงจะแคบกว่าที่ลำปางแต่สิ่งอำนวยความสะดวกก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันแถมมีระเบียงให้ตากผ้าด้วย อีกทั้งมีที่กินข้าวกับซื้อของได้ไม่ไกลเกินระยะเดินของเท้า หลังจากจัดแจงข้าวของซัก กกน. เสื้อยืดเอาไว้อาบน้ำแปรงฟันก็นอนกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วก็หลับไปด้วยความเหนื่อย

9 วันกับทริปอาจารย์จิ๋ว 5

บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ













วันที่ 5
8 กรกฎาคม 2552

ตื่นเช้ามาด้วยการปลุกของเพื่อนๆพร้อมกับความงัวเงียขั้นสุดยอดผลจากการแพ้ใจตัวเอง เหมือนทั้งๆที่รู้ว่าเช้ามาก็ไม่อยากตื่นแต่ก็ดันไม่ยอมนอนเพราะความสนุกชั่วข้ามคืน ลุกจากที่นอนแล้วก็อาบน้ำแปรงฟันอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ออกมาพร้อมขึ้นรถบัสอาจเป็นเพราะว่ารู้ว่าเช้านี้เราจะไปไหนในช่วงเช้า นั่นคือจะไปกินข้าวเช้าใน ม.เชียงใหม่นั่นเอง แล้วเป็นไง...โรงอาหารใน ม.ปิดเพราะวันนั้นเป็นวันหยุด วันสำคัญทางศาสนา แล้วเราก็กินข้าวริมถนนข้างๆ ม.เชียงใหม่ หลังจากจัดการรับประทานอาหารปลดทุกข์ปลดโศกเรียบร้อย เราก็นั่งรถไปที่วัดที่
ชิดริมถนนมากๆชื่อว่าวัดพันเตา ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยมีส่วนสำคัญที่เราจะมาดูคือพระวิหารหอคำหลวงซึ่งประเด็นสำคัญของวิหารนี้คือเป็นวิหารขนาดใหญ่ที่ใช้โครงสร้างไม้เป็นหลัก และคอนกรีตเป็นส่วนผนัง อีกทังรูปแบบของอาคารเป็นแบบของล้านนาแท้ที่มีความประณีตงดงามทั้งสัดส่วน ลวดลาย การใช้วัสดุ รายละเอียดทั้งบัว คันทวย ผนังฝาประกน ช่องแสงด้านข้าง มีการลดหลั่นผนังตามระดับความสูงของหลังคา ด้านในก็มีพระพุทธรูปประดิษฐานขนาดไม่ใหญ่มากเดินดูถ่ายรูปกันเล็กน้อย อ.จิ๋วก็เรียกไปชี้แจงถึงประเด็นสำคัญของวัดแห่งนี้ ข้าพเจ้านั่งฟังไปหาวไปรู้สึกว่าวันนี้กลับที่พักจะต้องรีบนอนเลยไม่งั้นพรุ่งนี้จะรู้สึกไม่พร้อมแบบวันนี้แน่ๆเลย ครั้งนี้ฟังแบบเข้าหูขวาทะลุหูซ้ายแบบสุดๆแต่พื้นที่ที่เรานั่งอยู่นั้นมีหลังคาคลุมทำจากวัสดุพื้นถิ่นคือไม้ไผ่ มุงด้วยใบอะไรซักอย่าง เป็นเครื่องผูกสมบูรณ์แบบจริงๆ พอ อ.จิ๋วพูดเสร็จเราก็ไปถ่ายรูป เดินสำรวจกันเล็กน้อยแล้วก็ออกเดินไปตามถนนอีกหน่อยเลี้ยวหัวมุมก็เจอกับโรงแรม U เชียงใหม่ ที่มีผนังคอนกรีตสีขาววางกั้นเป็นทางเข้า เข้าไปอีกนิดเราก็เห็น อ.ทรงไทยสีไม้ทึมๆเหนือกำแพงดูโบราณ ขัดกับผนังคอนกรีตที่ดูแล้วสมัยใหม่มากๆทางด้านซ้ายของประตูทางเข้าใหญ่นั้นเป็นหน้าต่างกรอบไม้สีน้ำตาลลูกฟักกระจกความสูงประมาณคนยืนข้างในของกระจกน่าจะเป็นส่วนนั่งรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มมีฝรั่ง2-3นั่งอยู่เห็นพวกเรามากันก็คงงงว่ามาทำอะไรกันเยอะแยะ อ.เจ็งกับ อ.จิ๋ว เสริมให้ว่าเจ้าของที่มาทำโรงแรมนี้คือเจ้าของเครือธนายงที่ทำทางด่วนถนนอะไรเทือกนั้น โดยที่นี้เป็นที่ของเจ้านายเก่าทางภาคเหนือเรือนไม้เก่าที่เห็นก็คือของเจ้านายท่านนั้น เมื่อมีการปรับปรุงเป็นโรงแรมก็ยังคงรักษาอาคารหลังเก่าไว้เพื่ออนุรักษ์และสอดแทรกสถาปัตยกรรมสมัยใหม่เข้าไปด้วยอย่างไม่ขัดเขินซึ่งไม่ใช่เพียงเรือนเก่าเท่านั้นแต่ในส่วนต่างๆก็มีรายละเอียดแบบไทยเข้าไปร่วมอยู่ด้วยแสดงให้เห็นว่าเพียงแค่เรารู้จักการประยุกต์ ของเก่าก็ใช่ว่าจะตกยุคหรือของไทยก็ใช่ว่าจะล้าสมัย ไม่ต้องไปวิ่งตาม Saha Hadid, Herzog De Meuron, Rem Koolhaas หรือสถาปนิกร่วมสมัยท่านอื่นๆเราก็มีสถาปัตยกรรมร่วมสมัยที่อยู่บนฐานของความเป็นไทยไม่ทิ้งรากเหง้าแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธกระแสของโลกดังที่ อ.จิ๋วพยายามสั่งสอนพวกเราอยู่เสมอ ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่เราต้องยึดเป็นหลักในการเรียนรู้แบบไม่ประมาทว่าเรามีวัฒนธรรม และวิถีแบบไทยการเรียนรู้ตามสากลเป็นเรื่องที่ถูกต้องแต่เพียงเรานำมาพัฒนาบนรากฐานของเราจนกลายเป็นแบบของเราแบบไทยๆดังเช่นที่เห็นได้ชัดจากญี่ปุ่นที่พยายามใส่วิถีแบบของตัวเองลงไปในการออกแบบ จนสถาปนิกหลายๆคนของญี่ปุ่นได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดของสถาปนิกโลก ถ้าเราทำได้สักวันต้องมีสถาปนิกไทยได้ Pritzker Prize อย่างแน่นอน อาจจะฝันไกลแต่ข้าพเจ้าคิดว่าไม่น่าจะยากกว่า “บอลไทย ไปบอลโลก” มั่นใจได้ การชมโรงแรมยูนี้ทำได้เพียงเดินถ่ายรูปอยู่ภายนอกและเดินเข้าไปได้แค่ส่วน Lobby เท่านั้น แต่ส่วนที่น่าสนใจมากๆคือทางเข้าด้านหน้าที่ติดถนนนั้นตั้งศาลพระภูมิที่เราเห็นตามบ้านอยู่ อ.เจ็งถึงกับบอกว่า “เป็นผมก็คงไม่กล้าทำ” แล้วเราก็เดินกลับไปขึ้นรถเพื่อไปยังจุดหมายต่อไปนั่นคือวัดทุ่งอ้อซึ่งพระที่วัดนี้ท่านบอกว่าอายุของโบสถ์ที่เราเข้าไปดูกันนั้นกว่า 100 ปี โบสถ์ของวัดนี้มีความแตกต่างจากวัดอื่นที่เป็นลักษณะล้านนาที่เราไปมาหลายที่ค่อนข้างมากคือ ตัวโบสถ์ขนาดค่อนข้างเล็กและยกฐานสูงเมื่อเทียบกับขนาดโบสถ์ทำให้สัดส่วนดูแปลกตากว่าที่อื่นๆ บวกกับปั้นลมปูนปั้นฉลุตกแต่งลวดลายตัวเหงาดูแปลกตา แต่เมื่อมามองภายนอกก็จะเห็นถึงความสวยงามของสัดส่วนที่ก็ดูเหมาะสมสวยงาม การลดระดับของผนังคอนกรีตด้านข้างตามระดับความสูงของหลังคาทำให้รูปด้านไม่ดูตันเกิด dymanic ที่สำคัญคือบันไดทางขึ้นด้านหน้าตัวระเบียงทางขึ้นนั้นมีขนาดใหญ่และหนามากเมื่อเทียบกับขนาดของด้านหน้าโบสถ์และเมื่อเดินขึ้นไปยังเจอเสาแปดเหลี่ยมที่วางบีบทางเข้าด้วยระยะห่างน้อยกว่าระยะเสาด้านในเมื่อเดินผ่านเข้าไปก็จะพบกับ Space ที่ดูกว้างขวางกว่าที่เห็นจากด้านนอกเป็นการสร้างการรับรู้ที่ว่างอย่างแยบยล เราก็ใช้เวลาอยู่ที่นี่กันสักพักหนึ่งกินน้ำกินท่าเรียบร้อยเราก็ขึ้นรถไปที่ต่อไป สถานที่ซึ่งข้าพเจ้ารอที่จะไปดูเพราะว่าเคยเห็นทางรายการทีวีช่อง 5 ช่วงเช้าวันเสาร์เลยทำให้อยากมาดูด้วยตัวเอง วัดต้นเกว๋นหรือวัดอินทราวาส ตำบลหนองควาย อำเภอหางดง เมื่อมาถึงก็พบกับกำแพงรั้วกั้นเปิดทางเข้าไว้พอให้รถผ่านเข้าไปได้หนึ่งคันแต่ไม่น่าจะให้รถเข้า เดินเข้าไปก็พบกับพื้นทรายเวิ้งว้างมีวิหารตั้งอยู่ตรงกลางพร้อมระเบียงคดรอบ ลักษณะวิหารมีความคล้ายคลึงกับวัดทุ่งอ้อแสดงว่าที่เชียงใหม่นี้มีการสร้างวิหารแบบล้านนาในลักษณะคล้ายกัน แล้วก็ไม่ผิดหวังที่รอคอยรายละเอียดต่างๆ โครงสร้าง สัดส่วน การจัดวาง วัสดุ ส่วนประกอบการตกแต่งลวดลายต่างๆดูแล้วมีความสมบูรณ์มาก จนข่าวดีก็มาถึง อ.ไก่ให้นศ.ที่ขาดในรายวิชา Profess.1 ครั้งตัดโมเดลตัวมณฑปส่งด้วยแต่ก็ไม่น่าจะเป็นไรมากเพราะมีพวกเดียวกันกับเราเยอะช่วยๆกันทำเดี๋ยวก็คงเสร็จ ข้าพเจ้าก็เลยนั่งทำความเข้าใจโครงสร้างของหลังคาศาลานี้อย่างตั้งใจทั้งลองเขียนถ่ายภาพไว้จนจ๊ะเอ๋กับสัตว์โลกที่เกลียดมากที่สุด ตุ๊กแกตัวเขื่องเกาะอยู่ตรงขื่อหน้าตาน่ากลัวมาก พอนั่งอยู่ใต้ศาลาสักพัก อ.จิ๋วก็เรียกให้เข้าไปด้านในวิหารเพื่อทำการชี้ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญในวิหารแห่งนี้คือเพดานที่สร้างการรับรู้ต่างกันเมื่ออยู่ที่ด้านทางเข้ามองมาที่พระประธานกับมองออกนอกพระประธาน ซึ่งถ้าจะอธิบายเป็นภาษาเขียนเห็นที่ว่าจะทำให้เข้าใจไม่ได้จึงขอให้ดูจากภาพเบลอๆแทน แต่สิ่งที่ทำให้เกิดการรับรู้ลักษณะนั้นเกิดจากการลดระดับชั้นหลังคา สี และช่องที่หน้าบันระหว่างขื่อตุ๊กตานั่นเอง การอธิบายของ อ.จิ๋วนั้นไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนอย่างแน่นอน การวิ่งไปวิ่งมาเพื่อตาม อ.จิ๋ว ที่พยายามให้เราเห็นอย่างที่ควรเห็นสร้างความประทับใจให้ข้าพเจ้าอย่างมาก มันแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของครูที่ต้องการสอนลูกศิษย์ให้เข้าใจอย่างแท้จริงซึ่งหาได้ยากแล้วในรั้วมหาวิทยาลัยที่จะมี อ.ผู้สอนจิตใจเยี่ยงนี้ แต่ข้าพเจ้าก็มีความภาคภูมิใจที่ในภาควิชาเรามี อ.ลักษณะอย่างนี้อยู่มากไม่แพ้ที่ใดแต่บางทีเรามองข้ามไปเพราะปัจจัยหลายๆอย่าง จบจากวัดต้นเกว๋นเราก็ไปต่อที่โรงแรมราชมรรคาเป็นโรงแรมแบบบูทีคคล้ายกับโรงแรมยูเชียงใหม่แต่ต่างกันที่ไม่ได้เอาโมเดิร์นผสมกับของเก่า แต่เป็นการนำของเก่ามาเล่าใหม่ในแบบฉบับของสถาปนิกเจ้าของงานซึ่งก็คือคุณองอาจ สาตรพันธุ์ในอดีตเรียกได้ว่าเป็น Corbusian คือชื่นชมและเคารพ Le Corbusier จนนำวิธีและสัดส่วนโมดูเลอร์เข้ามาใช้ในงานออกแบบที่เห็นได้ชัดคือโรงเรียนปานะพันธุ์ แต่ในงานออกแบบโรงแรมนี้คุณองอาจนำเอาลักษณะ องค์ประกอบ และรายละเอียดแบบล้านนาเข้าไปใช้ในการออกแบบ เช่น วิหารที่เราไปมาในเชียงใหม่หลายๆที่คุณองอาจก็นำระเบียบแบบนั้นเข้ามาจับในการออกแบบอาคาร ผังต่างๆ พื้นที่เชื่อมต่อทุกอย่างล้วนเป็นการเอาของเก่ามาทำใหม่ด้วยวิธีแบบสมัยใหม่ อาจจะต่างไปจากโรงแรมยูอยู่บ้างที่ไม่ได้อนุรักษ์ของเก่าเอาไว้แต่เป็นการสร้างของเก่าขึ้นมาใช้ในสมัยนี้ได้อย่างมีความเคารพและเข้าใจอย่างถ่องแท้ ซึ่งทุกที่ในโรงแรมที่ข้าพเจ้าได้เข้าไปสัมผัสนั้นมีความสวยงามไปหมด เหมือนอยู่ในกลุ่มอาคารที่สงบนิ่งมากแต่ก็ไม่รู้สึกถึงขั้นศรัทธาเหมือนวัด แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก เรามีของดีที่สามารถนำมาใช้ได้อยู่แล้วเพียงแต่จะรู้หรือเปล่าว่าจะนำมาใช้อย่างไรกลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายและน่าสนใจในทัศนะของข้าพเจ้ามากกว่าการไล่ตาม Saha Hadid, Herzog De Meuron, Rem Koolhaas,UN studio อย่างแน่นอน จบวันนี้ด้วยความประทับใจอย่างมากมายแล้วเราก็ออกจากโรงแรมนี้ไปรับประทานอาหารเย็นกัน กลับที่พักมาเราก็อาบน้ำเตรียมตัวพักผ่อนส่วนข้าพเจ้าเก็บข้าวของพร้อมสำหรับออกวันพรุ่งนี้เพราะคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เราจะนอนที่เชียงใหม่ ก่อนนอนก็ขอโขกกับอั๋นสักกระดานจน อ.พรพุฒิเข้ามาดูความเรียบร้อยเท่านั้นแหละเลยไม่ได้นอนเร็วอย่างที่ตั้งใจแล้ว จบจากอั๋นก็เลยต้องเล่นต่อกับ อ.พรพุฒิ 2 กระดานซึ่งกระดานนึงนี่ปาเข้าไปเป็นชั่วโมงสุดท้ายก็ยันไม่อยู่ต้องยอมพ่ายแพ้ให้ อ.ไปในกระดานที่ 2 ถึงจะได้นอนเตรียมพร้อมกับการเดินทางวันพรุ่งนี้

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

9 วันกับทริปอาจารย์จิ๋ว 4

บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ


วันที่ 4
7 กรกฎาคม 2552

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ที่ลำปาง แล้วตอนเย็นคณะของพวกเราก็มีอันจะต้องจรลีไปสู่เมืองเชียงใหม่อันศิวิไลซ์ในภูมิภาคแห่งนี้ จุดมุ่งหมายแรกของวันนี้คือวัดสุชาดาราม เราจะมาดูวิหารที่เป็นสถาปัตยกรรมสกุลช่างเชียงแสนสร้างขึ้นในระหว่างปี 2325-2352 เมื่อไปถึงส่วนที่เป็นทางเข้าสู่บริเวณภายในรั้วรอบวิหารจะพบว่าจะเข้าจากด้านข้างและขึ้นไปเจอกับด้านหลังของวิหารเมื่อขึ้นมาถึง อ.จิ๋วก็ได้ให้ประเด็นที่มีความสำคัญก่อนจะเดินไปชมทางด้านหน้าของอาคาร ซึ่งเป็นวิหารที่ท่านครูบาศรีวิชัยเป็นผู้นำในการเข้ามาอนุรักษ์ปฏิสังขรณ์ โดยมานั่งหนักที่นี่คือนั่งอยู่นานเพื่อให้ศีลให้พรชาวบ้านที่มาช่วยบริจาคช่วยกันก่อสร้าง เมื่อเราเดินไปสู่ด้านหน้าด้วยทางเดิน Horizontal planeที่ทอดนำพาแล้วหักเลี้ยวให้เราหันเดินไปสู่ทางเข้าสู่ประตูวิหาร ส่วนของวิหารที่มีการเล่นระดับตามความสำคัญของหลังคา สัดส่วนฐานหักมุมเพื่อลดทอน mass ให้ไม่ใหญ่เทอะทะเกินไป ด้านหลังของวิหารก็คือเจดีย์ในทรงของพม่า เดินเลี้ยวมามองเห็นความวิจิตรพิสดารของหน้าบัน ประกอบด้วยสิงห์นั่งขนาบ 2 ข้างของประตูประเด็นสำคัญของส่วนด้านหน้านี้มีตั้งแต่ ระเบียงทางเข้าที่ผายออกเพื่อดึงเชื่อม space สู่ภายใน เสาด้านหน้านั้นเป็นทรง 8 เหลี่ยมแค่ 1 คู่ การประดับตกแต่งเสาแทนที่จะทำจนหมดทั้งความยาวแต่ทำเหลือไว้ที่ฐานที่นั่งของสิงห์เพื่อแสดงถึงระดับความสำคัญของลวดลายที่จะใช้ในส่วนไหนจะพอเหมาะ อีกส่วนทีสำคัญคือการเกิด Positive – Negative Space ของเสาตุ๊กตา ที่ตั้งเพื่อรับขื่อมีการตกแต่งโดยคว้านเนื้อไม้เข้าไปคล้ายปากนกแก้วเกิดเป็น positive space ที่ปากนกแก้วนั่นเอง กลายเป็นความงามที่องค์ประกอบต่างๆทางสถาปัตยกรรมสร้างขึ้นมา โดยส่วนที่แตกต่างจากรูปแบบของวิหารภาคกลางอีกอย่างนึงคือ ปั้นลมที่วิ่งลงมาจากด้านบน 2 ระดับแล้วเชิดขึ้นกลายเป็นตัวเหงานั้นใช้ปูนหล่อหรือปั้นขึ้นมาครอบปั้นลมไม้ที่ปิดหัวแป ต่างจากรูปแบบของภาคกลางที่ปั้นลมอยู่หน้าแล้วมีหลบปูนด้านหลัง เมื่อเข้าไปด้านในส่วนของหน้าบันด้านบนศีรษะของพระพุทธรูปเจาะรูตรงกลางเป็นช่องที่เกิดจากเสาตุ๊กตาเพื่อให้ space ลื่นไหลต่อเนื่อง แผงคอสองมีการวาดภาพพุทธประวัติเอาไว้ ที่ฐานเสาด้านในมีการประดับด้วยกระจกสีซึ่งคาดว่าเป็นอิทธิพลของพม่า ลวดลายประดับเสาด้านในนั้นมีความแตกต่างไม่ซ้ำกัน แสดงถึงความพิถีพิถันของช่างในการก่อสร้างวิหารนี้ได้อย่างชัดเจน เมื่อเดินถ่ายรูปเก็บภาพทำความเข้าใจทั้งโครงสร้าง การรับรู้ space ,forms ต่างๆจาก อ.ท่านอื่นๆ กราบพระประธานข้างในวิหารแล้วเรียบร้อยก็ต้องเคลื่อนตัวไปสู่ที่ต่อไปโดยสถานที่ต่อไปก็อยู่ภายในวัดพระแก้วดอนเต้า ซึ่งวิหารวัดสุชาดารามแห่งนี้ก็อยู่ในบริเวณของวัดพระแก้วดอนเต้านี้นี่เอง พระบรมธาตุดอนเต้าเป็นสถานที่ต่อไปที่เราเข้าไปสัมผัสถึงความงดงามจากฝีมือของช่างในสมัย 200 กว่าปีก่อน ซึ่งส่วนที่เราตั้งใจมาดูนั้นไม่ใช่ตัวของพระบรมธาตุแต่เป็นมณฑปเก้ายอดที่ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าในสไตล์ของพม่า ความวิจิตรพิสดารของมณฑปนี้เกิดจากการประดับด้วยกระจกสีและลวดลายที่มีการบรรจงสรรค์สร้างขึ้นมาอย่างอ่อนช้อย โดยคาดว่าบางส่วนของลวดลายนั้นเกิดจากอิทธิพลของชาวอังกฤษที่ในช่วงเวลาขณะนั้นได้เข้ามาทำการยึดครองพม่าเป็นเมืองขึ้นทำให้มีคติความเชื่อในลักษณะของชาวคริสต์เข้ามาผสมอยู่ในมณฑปบางส่วนอย่างชัดเจน เช่น ลายเพดานที่แบ่งห้วงของช่องตารางตามลักษณะแบบลายเพดานของวัดทั่วไปแต่ตรงกลางไม่ใช่ดาวกลายเป็นกามเทพหรือคิวปิดตัวน้อยกำลังแผลงศร ลวดลายที่ประดับในองค์ประกอบของอาคารทั่วไปไม่ว่าจะ เสา ขอบเพดาน กรอบมุมเสากับเพดาน ผนัง และหลายๆส่วนเป็นลายในลักษณะแบบฝรั่งคือเป็นดอกไม้ ใบไม้ เถาวัลย์เลื้อยพันกันไปมาซับซ้อนทับกันอย่างวิจิตรบรรจงบ่งบอกว่าอาจมีฝรั่งเข้ามาร่วมในการก่อสร้างด้วย โดยมีช่างเป็นชาวพม่า เมื่อชมความงดงามของมณฑปหลังนี้เสร็จเราก็เดินต่อไปด้านในพบว่ามีพระอุโบสถพระวิหารหลวงครูบาศรีวิชัยตั้งอยู่ ซึ่งในสมัยก่อนระหว่างปีพ.ศ. 1979-2011 เคยเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต ซึ่งปัจจุบันก็ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระแก้ว กทม.นั่นเอง ในช่วงปี พ.ศ.2467 พระครูบาศรีวิชัยได้มาเป็นประธาน ในการบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถและพระประธานแห่งนี้ เมื่อเดินผ่านจากด้านหลังอุโบสถที่มาจากพระบรมธาตุก็ไปถึงด้านหน้าพบว่าวัสดุที่ใช้เป็นวัสดุสมัยใหม่ทั้งพื้นหินอ่อน เสา กำแพง ปูนทาสีขาว ด้านในก็มีความโป้งโล้งเกิด sense of space ในอีกลักษณะซึ่งดูแล้วไม่ซาบซึ้งเท่ากับวิหารของวัดสุชาดาที่ผ่านมา โดยอาจเกิดจากการซ้อนระดับของหลังคา การให้สีที่ส่วนเสาหรือที่เป็นปูนจะสีขาว ส่วนกลอน แป ขื่อ เต้า ระแนง ที่เป็นไม้นั้นทาด้วยสีแดง พรมปูพื้น พัดลม หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ ที่ติดตามเสา และขื่อ สร้างการรับรู้อีกแบบที่สงบนิ่งไม่เท่ากับวัดหลายๆแห่งที่เราได้เข้าไปสัมผัสมาแล้ว (คิดเอาเอง) เสร็จเรียบร้อย เราก็จะต้องไปต่อกันที่อีกวัดหนึ่ง เป็นวัดที่ได้รับรางวัลอนุรักษ์จากยูเนสโก คือวัดปงสนุกเมื่อมาถึงส่วนที่สำคัญของวัดนี้คือส่วนมณฑปเราก็เข้าไปสัมผัสกันว่าทำไมถึงได้การยอมรับจากยูเนสโก แต่ก่อนหน้านั้นคือเราก็รู้มาจาก อ.แล้วว่าที่เขาได้เพราะมีการร่วมกันทำงานกับชาวบ้านแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีปฏิสัมพันธ์กันและองค์การกรีนพีซก็มีส่วนร่วมทำให้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เราจึงรู้ว่าที่เค้าได้ก็เพราะกระบวนการในการทำงานมากกว่าผลงานที่สำเร็จออกมานั่นเอง เมื่อข้าพเจ้านั่งอยู่ด้านในก็พบว่าโครงสร้างหลังคาด้านในนั้นค่อนข้างซับซ้อนทีเดียว(ดูผ่านๆ) เมื่อมาดูในส่วนของการประดับประดาลวดลายที่อ่อนช้อยและวิจิตรงดงามไม่แพ้โครงสร้างหลังคาทีเดียวแต่ด้วยความรู้สึกส่วนตัวคิดว่ายังไม่ละเอียดหรือเนี๊ยบเท่าไหร่ ซึ่งจะเห็นว่าส่วนเสาด้านล่างหรือดาวเพดานนั้นมีการทำปูนปั้นแบบนูนขึ้นมาแต่ส่วนของปลายลายเรียวแหลมหรือต้องการความคมยังไม่เก็บให้กริ๊บเท่าไหร่ เท่าที่นั่งสำรวจโครงสร้างหลังคาและสเก็ตช์ทำความเข้าใจคร่าวๆเอาเองทำให้พบว่าน่าตื้นเต้นจริงๆไม่งั้น อ.ไก่คงไม่ให้คนที่ขาดวิชา Professฯ 2 ครั้งกลับไปตัดโมเดลเป็นการบ้านมาส่งแต่ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทางวัดนี้มีการทำหนังสือเกี่ยวกับวิถีทางในการอนุรักษ์ออกมาจำหน่ายทำให้เพื่อนๆที่โชคดีมีข้อมูลให้ค้นหาได้ง่าย ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ซื้อเก็บไว้สักเล่มเผื่อสักวันได้หยิบมาดูมาอ่านประดับสมองสักหน่อย จนถึงเวลากลับก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น โก้หัวโตเพื่อนข้าพเจ้าได้เก็บเงินเป็นจำนวน 3,000 บาท ไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครทำเงินหล่นได้มากมายขนาดนั้น ด้วยความที่เป็นคนดีจากจิตใจก็หาเจ้าของจนเจอและได้ทำพิธีส่งมอบคืน เจ้าของก็ไม่ใช่ใครที่ไหนคือรุ่นพี่ที่เรียน ป.โทนั่นเองและด้วยความซาบซึ้งพี่เขาก็ให้หนังสืออนุรักษ์ของวัดปงสนุกให้เป็นการตอบแทน จบเหตุการณ์นี้เราก็นั่งรถบัสพี่แป๊ะไปต่อในสถานที่ต่อไป โดยก่อนที่เราจะไปถึงสถานที่ให้ทำการศึกษานั้นเราก็แวะกินข้าวกันที่วัดศรีรองเมืองก่อนซึ่งทุกคนก็เตรียมข้าวมาแล้วจากที่พักตอนเช้า และพวกเราบางกลุ่ม(ใหญ่ๆ)ไม่ได้เตรียมมาอีกแล้ว จึงทำการเดินตาม คณะ อ. ไปหาอาหารกลางวันกินด้วยความมั่นใจแน่นอนว่ามีข้าวกินแน่ๆ เดินไปเรื่อยๆก็รู้สึกว่าระยะทางค่อนข้างไกลทีเดียวแต่สุดท้ายก็ได้กินจนอิ่ม ขณะเดินกลับเราก็เดินทางกลับพร้อมๆกับ อ.ไก่ ที่ อ.วัฒน์ฝากให้เดินกลับไปด้วยกันพร้อมๆฝนที่โปรยลงมาจนทุกวันของการอยู่ในเมืองลำปาง กลับมาที่วัดศรีรองเมืองขณะที่ อ.จิ๋วกำลังบรรยายเพื่อชี้ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญของวัดนี้ซึ่งจะเห็นว่าเป็นวัดที่มีลักษณะของพม่าเนื้อความที่ข้าพเจ้าบันทึกได้คือ “ไทยใหญ่ – พม่าร่วมกันสร้างเป็นทั้งกุฏิ, วิหาร ,ฯลฯ อยู่ร่วมกันไม่แยกอาคาร โครงสร้างซับซ้อน โดยช่างพม่าจากมันดาเลย์ ยกใต้ถุนสูงพัฒนามาจากอาคารที่วางบนพื้นเป็นกลุ่ม หมวดหมู่ มองจากภายนอกเห็นความสำคัญ ของแต่ละหลัง อยู่บนฐานของการสร้างวิมานสวรรค์วิจิตรพิสดารตรงข้ามกับเซนประดับด้วยกระจกสี แก้ว แสดงออกมาตามคติความเชื่อ” ฟังเสร็จก็เดินและทำการถ่ายรูปบันทึกไว้เป็นหลักฐานจนสาแก่ใจ เราก็ออกเดินทางไปที่บ้านเรือนไม้เก่าอยู่ที่ ต.มะกอก อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ปรากฏว่าเป็นเรือนไม้ของคุณยายที่เปิดให้เข้าชมสำหรับผู้ที่สนใจมานานแล้ว ภายนอกเท่าที่ดูเป็นงานไม้ที่เนี๊ยบมากๆขนาดหัวเสาที่รับคานยังมีการตกแต่งด้วยบัวหงายการต่อไม้คานก็แทบมองไม่เห็นรอยต่อ(หรือไม่ได้ต่อก็ไม่รู้) เดินวนรอบบ้านจนครบก็ขึ้นไปบนตัวบ้านน่าตื่นเต้นกว่าข้างล่างอีกเพราะลักษณะของหลังคาปั้นหยาที่วิ่งมาชนกันจึงเกิดเป็นร่องหลังคาที่คงมีน้ำฝนรั่วซึมบ้างทำให้ต้องมีการใส่รางน้ำด้านใต้หลังคาเกิดเป็นส่วนประดับของบ้านที่แปลกดี แล้วข้าพเจ้าก็นั่งมั่งยืนบ้างเพื่อจดผังของบ้านไว้ประดับสมอง จนมาวันนี้ปรากฏว่ามันไม่อยู่แล้วทั้งในสมองและในกระดาษที่จดไว้...เซ็งครับ ชื่นชมและล่ำลาคุณยายเจ้าของบ้านจนเสร็จเราก็วิ่งกลับไปขึ้นรถ ทำการเดินทางต่อไปที่เชียงใหม่ดินแดนศิวิไลซ์แห่งภาคเหนือ โดยรวมวันนี้เป็นวันที่เหนื่อยมากเพราะไปหลายสถานที่การจะตั้งสมาธิทำความเข้าใจในทุกที่ๆไปนั้นยากพอๆกับ lecture เกิน 3 ชั่วโมง เมื่อมาถึงที่พัก โอ้สนามกีฬา 700 ปีแห่งเชียงใหม่ และนอนใต้อัฒจรรย์ จากห้องละ 4 กลายเป็น 20 ซึ่งก็ไม่เป็นอะไรสำหรับพวกเราอยู่แล้วแต่สำหรับข้าพเจ้าคือการไม่ได้นอนเร็วๆแน่ เพราะว่าเพื่อนทำอะไรกันในห้องก็ต้องทำด้วยแน่ๆด้วยกิเลสต่างๆเริ่มด้วยยกหมากรุกไปโขกกันอีกห้องด้วยกติกาฝั่งละ 2 คน คือผลัดกันเดินโดยห้ามปรึกษากันผลคืออั้นไม่อยู่ ถ้าเพื่อนเดินไปในตำแหน่งเสียเปรียบเราก็ต้องแสดงอาการแน่นอน ถึงแม้ได้ชัยชนะแต่ก็ยังไม่สะใจ จบวันกลับไปนอนไม่ได้กลายเป็นต้องเล่นการพนันต่ออีกจนดึกดื่นตามกิเลสที่มันยั่วนั่นเอง

9 วันกับทริปอาจารย์จิ๋ว 3

บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ

วันที่ 3
6 กรกฎาคม 2552

ตื่นมาพร้อมความแจ่มใสอาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว เตรียมข้าวของ วันนี้ฝนก็ยังคงตกอยู่อย่างไม่น่าเชื่อ
จุดหมายแรกวันนี้ไม่ใช่วัดหรือโบราณสถานแล้วแต่เป็น บ้านทุ่งกว๋าว เพื่อศึกษาและซาบซึ้งถึงวิถีชีวิตกับสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่สอดคล้องกลมกลืนอย่างแยกกันไม่ได้ เมื่อไปถึงเราก็ได้สัมผัสกับบ้านเรือนคล้ายกับที่เราแวะก่อนกลับโรงแรมแต่ที่นี่มีความเป็นหมู่บ้านแต่ละหลังมีความคล้ายคลึงกันตามลักษณะการใช้งานของเจ้าของ(ถ้าบ้านนั้นทำนา)รูปแบบของโครงสร้างก็จะต่างกันบ้างตามวัสดุเช่น อาจมีการใช้เสาคอนกรีตแทนเสาไม้ ใช้หลังคาสังกะสีแทนกระเบื้องแบบเก่า ยกใต้ถุน ส่วนใหญ่จะมีการ set ทางเข้าของเรือนเข้าไปจากผนังบ้านด้านนอกสุดแล้ววางบันไดเพื่อขึ้นสู่ตัวบ้าน หรือบางบ้านจะเป็นลักษณะเดินขึ้นบันไดแล้วเจอชานบ้านคือไม่กั้นเป็นห้องกลายเป็นพื้นที่โปร่งโล่ง ส่วนพื้นที่ลานด้านล่างเป็นที่สำหรับการเพาะปลูกพืชผัก พืชสวน ต่างๆเราก็เดินไปเรื่อยๆจนทะลุเข้ามาถึงส่วนที่เป็นทุ่งนากว้างใหญ่ สุดลูกหูลูกตา มีแบ็คกราวด์เป็นภูเขาสลับซับซ้อน พร้อมกับหมอกที่ลอยอ้อยอิ่งเหมือนจะตกก็ไม่ยอมจะขึ้นไปก็ไม่เอา พอมาถึงตรงนี้ก็ได้ใช้เวลานานในการเดินเข้าไปในทุ่งนาบ้างถ่ายรูปกันบ้าง ซึ่งฝนก็ค่อยๆหยุดโปรยปรายบ้างตกลงมาอีกบ้าง ก็ใช้เวลาในการดื่มด่ำธรรมชาติและวิถีชีวิตกับสถาปัตยกรรมที่ทุ่งกว๋าวนี้จนเวลาเที่ยงๆ เราก็ย้ายไปกินข้าวกันที่วัดปลายนาหลวงมาถึงเวลานี้ข้าพเจ้าและเพื่อนอีก 10 กว่าคนผู้ซึ่งไม่ได้เตรียมอาหารมากินที่วัดถึงแม้ว่าจะได้บอกกันแล้วแต่ก็ไม่ได้ทราบเรื่องราวกัน เราก็ออกเดินทางเพื่อแสวงหาที่ฝากท้องกันตายไว้ก่อนแม้ดูจะไม่น่าจะมีพื้นที่ที่สำหรับร้านขายอาหารอยู่ในละแวกนั้นได้เลย เดินไปจนตัดสินใจถามพี่สาวแถวนั้นก็ปรากฏว่ามีอยู่ที่หนึ่ง เราก็ไม่มีทางเลือกเดินไปตามทางที่เขาบอกสุดท้ายก็เจอในซอกซอย เป็นบ้านที่อยู่ติดกันกับโรงงานน้ำแข็งขนาดเล็กๆ ใต้ถุนบ้านนั้นจัดสรรที่ไว้สำหรับวางตู้หม้ออะไรๆสำหรับทำก๋วยเตี๋ยว และมีหม้อใส่น้ำเงี้ยวอยู่ข้างๆ ข้าพเจ้าเมื่อไปถึงก็ไม่สั่งแล้วเพราะเพื่อนๆที่มาถึงก่อนสั่งกันไปเยอะมาก เราก็เอาขนมจีนน้ำเงี้ยวเลยง่ายดี ซึ่งการเดินเพื่อมากินอาหารเที่ยงในนี้นั้นนับว่าคุ้มค่ามากๆเพราะได้สัมผัสถึงกิจกรรมที่เกิดขึ้นจริง วิถีชีวิตที่เข้ากันกับสถาปัตยกรรมที่ถูกพัฒนาจนพอเหมาะพอดีกับการใช้งานจริงและวัสดุที่หาได้ง่าย วิธีการที่ไม่ยากทำเองได้ไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีที่มากมายเมื่ออิ่มแล้วเราก็เดินกลับมาที่รถบัส เพื่อให้หลวงพ่อจากวัดปลายนาหลวงนี้พาไปดูบ้านอายุกว่าร้อยปี ซึ่งเส้นทางที่เดินไปก็ต้องผ่านทางที่พวกเราได้เดินมากินข้าวแล้วนั่นเอง แล้วก็เป็นช่วงเวลาในการเดินอยู่ในหมู่บ้านดีเด่นแห่งนี้อย่างยาวนานสำหรับวันนี้ เราก็ถ่ายรูปเก็บภาพไปอย่างมากมาย จนเริ่มแดดร่มลมตก อ.จิ๋วก็พามุ่งหน้าไปสู่จุดหมายต่อไป วัดข่วงกอมเป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นใหม่โดยได้นำเอาคุณค่าและรูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบล้านนามาร้อยเรียงในแบบของสถาปนิกผู้ออกแบบเอง มีส่วนของอาคารที่เป็นกุฏิสงฆ์ และวิหาร ที่มีวิหารคตล้อมรอบก่อนเข้าสู่อาณาเขตของวิหารนั้นมีการกั้นด้วยกำแพงที่ใช้หินก้อนใหญ่มาเป็นพื้นผิวและซุ้มทางเข้าโครงสร้างไม้ที่มีรูปแบบของล้านนา เมื่อเหยียบเข้ามาในอาณาบริเวณรอบวิหารก็จะพบว่าเป็นพื้นทรายไม่ต่างกับวัดที่ผ่านๆมา รูปแบบการเจาะช่องเปิดที่ด้านข้างนั้นค่อนข้างคล้ายกับวิหารวัดพระนอนที่อุทยานประวัติศาสตร์ เมื่อได้เข้าไปข้างในลักษณะของโครงสร้างที่เห็นก็จะคล้ายกับทั้งวัดพระธาตุลำปางหลวงหรือปงยางคก แต่จะมีการใช้แสงไฟในพระวิหารที่ดูเป็นแบบสมัยใหม่ผสมเข้ากับพื้น ผนัง เพดาน ที่สร้างอารมณ์เลื่อมใส สงบ โดยรวมสำหรับข้าพเจ้าเองนี่เป็นงานที่ออกแบบได้น่าสนใจมีการนำเอกลักษณ์ของพื้นถิ่นมาใส่บวกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ดูแล้วกลมกลืนถึงแม้ sense of space อาจยังไม่เท่า วัดไหล่หินหลวง หรือปงยางคก แต่ก็เป็นตัวอย่างในความพยายามให้พวกเราได้ดูได้ศึกษาเพื่อนำไปพัฒนาต่อไป แล้วเราก็จบจากที่นี่มุ่งกลับสู่โรงแรม กินข้าวกินปลาเรียบร้อย ถึงห้องพักก็อาบน้ำ แปรงฟัน ซักผ้าเล็กน้อย เอารูปไปเก็บไว้ด้วยวิธีเดิม เข้านอน

9 วันกับทริปอาจารย์จิ๋ว 2

บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ

วันที่ 2
5 กรกฎาคม 2552
ตื่นเช้ามาด้วยการปลุกของเพื่อนร่วมห้อง พัชระแต่งตัวเตรียมไปกันแล้วต้องรีบอีกแล้ว จัดการธุระของตัวเองเสร็จสิ้นก็ขึ้นรถไปพร้อมกับฝนที่โปรยปรายลงมาต้อนรับสู่เมืองลำปาง ที่แรกที่ไปในวันนี้คือวัดไหล่หินหลวงฝนก็คงตกอยู่อาจสร้างความลำบากให้แก่การใช้กล้องและกระดาษสำหรับจด แต่ไม่เป็นอุปสรรคในการขวนขวายหาความรู้อย่างแน่นอน ลงจากรถเดินเข้ามาสู่ทางเข้าสิ่งที่พบเจอคือแกนของทางเดินที่พุ่งตรงสู่ซุ้มประตูทางเข้าเลยไปถึงตัวของพระวิหารไม่ตรงกันและเมื่อเดินเข้าใกล้วัดเข้าไปเรื่อยๆความรู้สึกที่คิดในตอนแรกว่าใหญ่กลายเป็น”เฮ่ยนี่มันเล็กนี่หว่า”ซึ่งเล็กแบบเล็กๆน่ารัก และก็เป็นประเด็นสำคัญที่ อ.เจ็งต้องการชี้ให้เห็นจากการที่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเองเมื่อครั้งอดีต คือวัดนี้จะมีความต่างอย่างที่บอกคือเล็กกว่าที่วัดอื่นๆเป็นเมื่อ อ.เจ็งมาถึงก็เกิดการถูกลวงตาด้วยสเกลของวัดที่เทียบกับต้นมะขามด้านหลังที่ขนาดเล็กเมื่อเทียบกับขนาดของวิหาร ซุ้มประตู ประติมากรรมสิงห์ และแนวแกนที่ทำให้เกิดการรับรู้ในลักษณะลวงตา ซึ่งในส่วนของ อ.จิ๋วนั้นก็ชี้ถึงประเด็นของวัฒนธรรมจากวิถีชีวิตของชาวบ้านกับวัด การใช้ลานทรายตามกุศโลบายของคนสมัยก่อนที่ทำความสะอาดง่ายดูแล้วเรียบสบายตา วัดนี้มีความสงบในตัวของมันเอง กระเบื้องหลังคาซ้อนทับกันละเอียดเล็กลดทอนระนาบไม่มีการตีฝ้า ขื่อไม่บังพระประธานโดยการตั้งขื่อตุ๊กตา ระนาบของแป กลอนแบ่งจังหวะกันเกิดความสัมพันธ์กับลายหน้าบัน ส่วนของวิหารคด กดเตี้ย เมื่อมองไปตามทางเดินสายตาถูกกำหนดด้วยผนังของวิหาร สีของเม็ดทรายบนพื้นภายในก็ช่วยสร้างความเวิ้งว้างทำให้วิหารใหญ่โตขึ้นอีก แล้วก็เดินชื่นชม space ทั้งภายนอกภายในจนเดินเข้าไปนั่งจดผังในวิหาร ขณะนั้นเอง อ.วัฒน์และ อ.ไก่ก็เข้ามาให้ความรู้และแง่คิดบางอย่าง(ซึ่งปัจจุบันก็ยังคิดไม่ออก)ใจความก็เกี่ยวข้องกับการทำให้อาคารขนาดเล็กดูใหญ่ โดยการเทียบสเกล spaceในลักษณะต่างๆเช่น negative – positive space, space within space เป็นต้น เมื่อได้ความรู้เรียบร้อยก็ได้เวลา move ไปสู่จุดหมายต่อไปแต่ระหว่างที่จะไปขึ้นรถก็ขอเข้าห้องน้ำปัสสาวะซักหน่อยแล้วก็วางสมุดจดไว้บนขอบผนัง เสร็จกิจปั๊บขึ้นรถแล้วก็นั่งไปสักพักก็นึกได้ว่า”ลืมสมุดว่ะกู” ตัดสินใจเดินไปบอก อ.หน้ารถ อ.น้ำเลยบอกว่าเดี๋ยวค่อยให้รถตู้ ป.โทพากลับ กลายเป็นเรื่องเลยสุดท้ายก็ได้คืนโดยพี่คนขับรถตู้พากลับไปเอาให้ซึ่งเค้าก็ใจดีไม่บ่นซักคำแถมได้นั่งคุยกับแกจนรู้ว่าลูกเค้าจบ วจ.ทำงานอยู่ช่อง3อีกคนเรียนที่ ม.ขอนแก่น แต่อ.น้ำก็ดูหงุดหงิดนิดๆ ก็กลายเป็นอย่างที่คิดว่าทริปนี้มันต้องมีเรื่องเปิ่นๆก็มีจนได้และก็ขอให้เป็นครั้งสุดท้ายของทริป นี้ละกัน เมื่อได้สมุดเรียบร้อยก็เข้าไปสู่จุดหมายปลายทางต่อมาคือ วัดพระธาตุลำปางหลวงเป็นพระธาตุประจำปีของคนเกิดปีฉลูซึ่งก็คือปีเกิดของข้าพเจ้าแต่เราก็จำไม่ได้จนมาอ่านนิตยสารท่องเที่ยวตอนกลับถึงโรงแรมแล้วน่าเสียดายเป็นอย่างมาก วัดนี้มีประเด็นสำคัญที่ตัวของโครงสร้างที่สลับซับซ้อน ลายประดับที่วิจิตรบรรจงสัมพันธ์กับโครงสร้าง สัมพันธ์กับspace เป็นสถาปัตยกรรมลักษณะล้านนาที่แสดงถึงความเข้าใจในสถาปัตยกรรมของช่างการใช้ขนาดของเสา ขื่อ แป กลอน ระแนง คันทวย และองค์ประกอบอื่นที่มีความปราณีตอย่างที่สุด ส่วนสำคัญอีกอันคือแผงคอสองที่มีระดับสูงขึ้นมาจากพื้นพอให้นั่งบนพื้นวิหารแล้วมองออกไปเห็นอาคารแวดล้อมรอบวิหาร เห็นการเชื่อมต่อกันของอาคารและพื้นทรายที่มีการใช้ตามคติคล้ายกับวัดไหล่หินหลวง สุดท้ายคือ positive – negative sense จากลายฉลุที่หน้าบันของวิหารเมื่อมองจากภายนอกจะเห็นลายวิจิตรบรรจงสวยงามแต่เมื่อเข้ามาข้างในมองออกไปจะพบเป็นช่องแสงตัดกับเงาดำของไม้เกิดเป็น positive – negative sense ตามที่ อ.กรินอธิบายขยายความ อ.จิ๋ว ให้ข้าพเจ้าฟังอีกที แล้วเดินขึ้นไปที่หอสำหรับดูพระธาตุกลับหัวอันมีชื่อเสียงให้เห็นกับตานิดนึง เสร็จแล้วเราก็ไปกินข้าวเที่ยงและไปต่อที่วัดปงยางคกเป็นอันดับต่อไปความสำคัญของวัดนี้เกิดจากคุณค่าของการวางตัววิหารให้เข้ากับสภาพแวดล้อม การก่อสร้างง่ายๆ เสา ขื่อไม้ สัดส่วน การจัดระเบียบลวดลาย ความสูงของเพดาน จังหวะการวางขื่อ ระยะเสา การลดหลั่น หน้าจั่ว หน้าบัน กำแพง เมื่อทั้งหมดเข้ามาสอดผสมกันทำให้เกิดวิหารโถงที่แสดงถึง sense of space ลายกรุทองก็สัมพันธ์กันกับสัดส่วนของเสา ขื่อ เมื่อเสร็จจากที่นี่เราก็เดินทางในขากลับสู่โรงแรม แม้จะวันที่สองแล้วแต่ฝนก็ยังตกอยู่เหมือนเดิม ขณะเดินทางเราก็แวะบ้านเก่าในลักษณะสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นไปตามทางเพื่อชักรูปเก็บไว้และศึกษาถึงโครงสร้างการใช้งานที่เกิดจากวิถีชีวิตจริงๆของชาวบ้าน วัสดุในท้องที่ ระบบการก่อสร้างที่พัฒนาเพื่อเข้ากับช่างในพื้นที่ ซึ่งลักษณะของบ้านในที่ที่เราไปวันนี้จะไม่ถึงขั้นเนี๊ยบมาก แต่ก็มีความสวยงามในตัวของมันจากระนาบที่เกิด space ที่จำเป็นอย่างจริงจัง จบวันนี้ด้วยบ้านริมทางแล้วเราก็มุ่งหน้ากลับสู่โรงแรมกินข้าว ถึงที่พักก็ซักผ้าก่อนเพราะรู้สึกว่าเสื้อผ้าจะไม่พอแล้วก็นอนดูทีวีเล็กน้อย เอารูปไปลง Thumb Driveโดยเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาของกิตติคุณ อาบน้ำแปรงฟัน เพื่อนๆออกไปแสวงโชคกันข้าพเจ้าก็หลับไปพร้อมๆกับ อินเดียน่า โจนส์ภาคกะโหลกแก้ว

9 วันกับทริปอาจารย์จิ๋ว 1

บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ



วันที่ 1
4 กรกฎาคม 2552

จริงๆแล้วต้องตื่นเช้าเพื่อไปขึ้นรถที่คณะเวลา 7 โมงเช้า ซึ่งเมื่อคืนก็เตรียมของแพ็คกระเป๋าไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เสื้อผ้า ของใช้ กล้อง หลายๆอย่าง ปรากฏตื่นมา 6.50 ซะแล้ว "ไอ้บ้าเอ้ย ตั้งปลุกผิด"เพราะตั้งไว้ให้ปลุกวันจันทร์ถึงศุกร์แต่วันที่เราไปกันเป็นวันเสาร์ ถ้าก้องกานต์ไม่โทรมาก็คงยาวแล้ว รีบเลยสิครับทุกอย่างเสร็จภายใน 10 นาทีขึ้นรถประมาณ 7.20 น. เป็นการเริ่มทริปที่ไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ ซึ่งก็คาดว่าทริป คราวนี้ต้องมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอีกแน่เลย (เป็นลางสังหรณ์บางอย่างในใจ) เมื่อรถออกสถานที่แรกที่ไปถึงคือจังหวัดสระบุรี ที่บ้านของอ.ทรงชัย เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรือนไม้ไทยที่เก่าแก่มาก(ดูจากลักษณะไม้ของบ้าน)ก้าวแรกที่เดินเข้าไปในบริเวณของบ้าน


ผ่านสะพานเล็กๆที่พาดข้ามคูน้ำน้อยๆลอดซุ้มประตูหน้าขนาดพอเต็มที่สำหรับ 2 คน ความรู้สึกที่เกิดเมื่อลอดซุ้มประตูเข้ามาเจอกับลานดินเรียบประกอบกับเรือนไม้ที่ตั้งห่างเข้าไปจากทางเข้าในระยะหนึ่ง เหมือนกับเดินเข้ามาในละครพีเรียดหรือย้อนกลับไปสู่ยุคอยุธยา กับทำให้นึกถึงบ้านที่แม่กลองที่เป็นอดีตของเรา หันไปข้างขวาเจอกับคุณลุงผมทรงมหาดไทยพร้อมชุดม่อฮ่อมอีกยิ่งเข้ากันเข้าไปใหญ่ นั่นก็คือเจ้าของบ้านร่วม อ.ทรงชัยนั่นเอง เมื่อเข้ามาถึงที่นี่ อ.จิ๋วก็เริ่มชี้ถึงประเด็นว่าทำไมเราถึงต้องมาที่นี่ คือการอนุรักษ์เรือนต่างๆรวมถึงการประกอบกันขององค์ประกอบต่างๆตั้งแต่ ลานดินเรียบ สัตว์เลี้ยง บ่อปลา(ปลาเสือเยอะมาก) ของใช้เก่าๆเช่น กระต่ายขูดมะพร้าว เกวียน อุปกรณ์ชงกาแฟโบราณ เป็นต้น ประเด็นที่น่าสนใจอย่างชัดเจนคือสิ่งที่ อ.จิ๋วถาม อ.ทรงชัยว่าทำไมถึงเป็นลานดินไม่มีการปู pavement หรือจัด landscape คำตอบของ อ.ทรงชัยคือ สร้างความสมดุลให้กับชีวิตเกี่ยวกับธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ คือไม่หนีธรรมชาติอยู่กับธรรมชาติและวัฒนธรรมประเพณีของไทยที่ต้องมีลานอเนกประสงค์สามารถใช้ในกิจกรรมต่างๆ เช่น ทำบุญ งานประเพณี ตากผ้า วิ่งเล่น เตะบอล ฯลฯ และ อ.ทรงชัยก็ร่ายยาวถึงต้นกำเนิดหรือประวัติศาสตร์ของล้านนารวมถึงของไทยเองมีความส่วนหนึ่งว่าในสมัยรัชกาลที่ 1 พระพุทธยอดฟ้าฯก็ได้รับสั่งให้รวมทัพหลวงไปตีเมืองเชียงแสนกวาดผู้คนกว่า 23,000 คน กระจัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆตั้งแต่ เชียงใหม่ น่าน ลำปาง เวียงจันทร์ ราชบุรี จนถึงกรุงเทพฯ และที่สระบุรีแห่งนี้ อ. ท่านคาดว่ามีชาวเชียงแสนที่ย้ายมาในอดีตอยู่กว่า 80,000 คนซึ่งตัว อ.ทรงชัยเอง

ก็คือหนึ่งในคนเชียงแสนที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ตามภาคต่างๆของไทยโดยท่านก็อยู่ที่สระบุรีนี้นี่เอง ระหว่างนั้นก็มีชาวเหนือจากน่านเข้ามาศึกษาดูงานด้วย เมื่อเราเก็บรูปเดินชื่นชมอาณาเขตบริเวณบ้านจนสาแก่ใจแล้ว ก็ข้ามถนนมาที่พิพิธภัณฑ์เรือลุ่มน้ำป่าสัก เดินเข้าไปภายในก็เกิดความประทับใจอย่างยิ่งยวดเมื่อผ่านไปสู่ทางเดินด้านบนก่อนลงไปที่ท่าเรือและเห็นทัศนียภาพของลุ่มน้ำป่าสัก ระหว่างท่าเรือกับบันไดทางลงนั้นเป็นลานดินและเวทีสำหรับจัดการแสดงของล้านนาหรือทางเหนือ เราก็ได้มานั่งกินข้าวกินน้ำท่ากันที่นี่ด้วย เมื่ออิ่มแล้วก็มีการแสดงของสาวน้อยน่ารัก ทั้งรำโคมอะไรซักอย่าง รำประวัติล้านนา รำนกยูง(รึเปล่า) แล้วก็รำสักการะแม่น้ำป่าสักปิดท้าย นางรำทั้งหมดเป็นเด็กน้อยอายุไม่เกิน 13-14 ปี สร้างความประทับใจให้กับทั้งเพื่อนๆ และอาจารย์ อย่างมาก มาถึงตรงนี้ก็ลืมว่านอกจากคณะของ นศ. สถ.5 แล้วยังมี นศ.ปริญญาโท สาขาวิชาเทคโนโลยีทางอาคาร ของ อ.ทรงเกียรติเดินทางมาด้วยอีก 9 คน เมื่อเสร็จกิจจากที่นี่แล้วคณะของพวกเราก็เคลื่อนขึ้นไปเรื่อยๆจนแวะที่อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร เมื่อถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆจนใกล้เย็นแล้วแสงแดดน้อยทำให้บรรยากาศที่อุทยานฯดูยิ่งเคร่งขรึมเก่าแก่มากขึ้นอีก(คิดเอาเอง) ลักษณะของตัวโบราณสถานนั้นเป็นการก่อด้วยศิลาแลงและมีรอยฉาบปูนบ้างประปราย ที่แรกคือวัดพระนอนมีทางเดินเข้าสู่ตัววิหารเป็นเส้นตรงผ่านเสาเล็กๆบนพื้นสนามหญ้า ช่องทางเข้านั้นแคบขนาดคนเดินผ่านได้ประมาณ 3 คน กำแพงเขตวัดไม่สูงมากเวลายืนสามารถมองข้ามผ่านเข้าไปได้ และที่สำคัญคือตัวกำแพงถูกสร้างขึ้นด้วยการวางศิลาแลงกว้างประมาณ 1 ศอกตามตั้งและศิลาแลงหน้าตัดคล้ายฐานบัว(ดูค่อนข้างยากเพราะแทบไม่เหลือรายละเอียดแล้ว) เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูทางเข้าผ่านทางเดินที่ขนาบด้วยเสาเตี้ยแค่ไม่ถึงเข่า(คาดว่าเมื่อก่อนเคยสูง..มั้ง)และสนามหญ้าเขียวขจี ก็จะเจอบันไดขึ้นสู่ตัววิหารอีกที ซึ่ง อ.จิ๋วก็ได้ชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญที่ควรเข้าไปสัมผัสว่า มีการเล่นระดับซ้อนชั้นตามสภาพภูมิประเทศ แนวเสามีการฉาบปูนเรียบระหว่างเสาจะเห็นเป็นช่องหรือกำแพงอัดอยู่ อ. ท่านสันนิษฐานว่าเป็นฝาไม้ประกน ช่องโปร่งหรือว่าอาจจะก่ออิฐเป็นช่องโปร่ง เมื่อเดินสัมผัสดูจะเห็นระนาบสูงเตี้ย textureของศิลาแลง เสาตั้งเสานอน เกิดปฏิสัมพันธ์กันโอบล้อม space ตามครรลองของโบราณประเพณีแทรกอยู่ เกิดความงามของพื้นที่ที่มนุษย์เข้ามาจัดการกับพื้นที่ป่าไม้ เกิดเป็นสำนึกที่ต่างออกไปไม่ใช่แค่เป็นโบราณสถานแต่เกิดเป็น sense ของ landscape ซึ่งถ้าเรามองให้เข้าใจก็จะสามารถจับเอาไป apply กับงานสมัยใหม่ได้ในลักษณะของการสร้างให้ธรรมชาติกับอาคารอยู่ด้วยกันอย่างลงตัวเกิดเป็นอารมณ์แบบ วัดพระนอนนี้นี่เอง เมื่อจบกันกับวัดพระนอนก็ไปต่อที่วัดพระสี่อิริยาบถซึ่งขณะนั้นมีการจัดประเพณีเวียนเทียนประจำวันอาสาฬหบูชาของที่นั่นพอดี ส่วนสำคัญของวัดนี้คือมีอาคารมณฑปวางครอบพระพุทธรูปสี่อิริยาบถ(ตามชื่อวัดเลย)ซึ่งวางหันหน้าออกสี่ทิศ แต่ที่เหลืออยู่นั้นก็มีเพียงโครงสร้างกำแพงก่อด้วยศิลาแลง เสาศิลาแลง ซุ้มทางเข้า พร้อมพระพุทธรูปปางลีลาที่มีความสวยงามตามแบบสุโขทัย ประเด็นสำคัญที่ อ.จิ๋วให้ไว้คือส่วนของกำแพงล้อมรอบจะคงเหมือนกับวัดที่แล้ว และมีร่องรอยของช่องตามกำแพงสำหรับสอดขื่อ วางแป วางเต้า คันทวย รูปปั้นพระพุทธรูปแทนที่จะวางให้อากาศกินเหมือนทั่วไปแต่สร้างกำแพงวงโค้งเกิดเป็น space โอบล้อมประติมากรรมไม่เวิ้งว้าง ขับให้พระพุทธรูปเด่นน่าเลื่อมใสขึ้นมา เมื่อเดินชมบรรยากาศถ่ายล่งถ่ายรูปเสร็จก็พร้อมกับแสงอาทิตย์ที่หมดไป ประกอบกับบรรยากาศของการเวียนเทียนแสงไฟจากเปลวเทียนที่สาดส่องล้อมรอบวิหาร ทำให้เป็นการเริ่มต้นทริปวันแรกที่น่าประทับใจทีเดียว สุดท้ายเราก็เดินทางมาถึงเมืองลำปางและเข้าโรงแรมเมื่อเวลากว่าเที่ยงคืนที่พักก็มีความน่าอยู่กว่าที่คิดเอาไว้ ข้าวเราก็กินจากที่ตลาดเพราะฉะนั้นเมื่อถึงห้องทำได้แค่เอารูปจากกล้องลง Thumbdrive ผ่านเครื่องของกิตติคุณ เสร็จปั๊บอาบน้ำแปรงฟันก็หลับเป็นตาย