วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บทสัมภาษณ์รุ่นพี่ สถ.ในดวงใจ






พี่โบว์ พิสมัย ไวทยการ พี่รหัสสาวสวยของข้าพเจ้าเอง






Q1 : ประวัติในการเรียน รุ่นเท่าไหร่ ชื่อ นามสกุล ชื่อคณะ
iA ชื่อ นางสาวพิสมัย ไวทยการ 43020029 ชื่อคณะ หักอก
Q2. ทำไมถึงเลือกที่จะเรียน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ เพราะอะไร
iiA ตอนอยู่ม.5ไปซื้อโคนันที่ร้านหนังสือ เดินผ่าน art4d หน้าปก church of light :tadao ando รู้สึกว่ามันเท่ห์มากๆ เลยซื้อกลับบ้านไปแทน ตอนนั้นเลยคิดว่าเป็นสถาปนิกนี่เท่ห์สุดๆ ตอนนี้มาคิดดูน่าจะซื้อโคนันนะ
Q3. ได้มีเวลากลับมาร่วมงานร่วมกิจกรรมของคณะมากน้อยขนาดไหน
iiiA กลับไปร่วมกิจกรรมบ่อยๆช่วง1-2 ปีแรก หลังๆไม่ได้ไปร่วมเลย
Q4. สภาพแวดล้อมโดยร่วมของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ลาดกระบัง ในสมัยที่พี่เรียนกับปัจจุบันต่างกันอย่างไร
ivA สภาพแวดล้อมเจริญขึ้นเร็วมาก แต่ข้างในคณะยังเหมือนเดิม
Q5. พี่คิดว่าคณะสถาปัตยกรรม ลาดกระบังมีอะไรที่ควรปรับปรุงหรือเพิ่มเติมบ้างในการเรียน มีข้อแนะนำอะไรบ้าง
vA เรื่อง construction นี่เป็นจุดแข็งอยู่แล้ว อยากให้รักษาไว้ บางทีน่าจะเน้นเรื่อง การศึกษาประวัติ ผลงาน แนวความคิด ของสถาปนิกที่มีชื่อเสียงแบบจริงจัง เพราะตัวเองตอนเรียนอยู่ไม่ค่อยได้สนใจ เปิดดูรูปแล้วลอกๆไป ที่จริงมันก็มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ออกมาเป็นชิ้นงานนั้นๆ วิธีที่เค้าเอาideaผสมกับข้อมูลให้เป็นสถาปัตยกรรมนี่สำคัญมากๆ เป็นหัวใจหลักของงาน proposal design เลย
Q6. ระบบการศึกษาในสมัยอดีตจนถึงปัจจุบันในความคิดพี่ต่างกันอย่างไร
viA ตอนนี้มันเป็นยังไงอ่ะ ไม่รู้จิงๆ
Q7. ประสบการณ์ในการทำงานกับการเรียนต่างกันมากน้อยขนาดไหน
viiA ตอนเรียนจะเหมือนงานช่วง proposal design พอทำงานจริงๆ proposal design ซึ่งคงซัก5%ของโปรเจกค์ได้มั้ง ยังมีอีก95%ที่เหลือยังอีกยาวไกล





Q8. พี่มีประสบการณ์ในการทำงานที่บริษัทไหนแล้วบ้าง
2009-2007 LAUD Architects Pte Ltd
http://www.laudarchitects.com/
2007-2006 A7 corporation Co., Ltd
http://www.a7corp.com/
2005-2006 HOUSING TEN 11 Co., Ltd
http://www.housingten11.com/
Q9. พี่มีผลงานอะไรแล้วบ้างและผลงานที่ภาคภูมิใจ
viiiA 2006 HOUSING TEN 11 Co., Ltd
โครงการปุราณยารีสอร์ท อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เพราะเป็นงานแรกที่ออกแบบแล้วสร้างเสร็จ ต้องขอบคุณผู้รับเหมาจริงๆ
ixA 2008 LAUD Architects Pte Ltd
Lighthouse Commercial Center Nha Trang,Vietnam
ชนะประกวดแบบ mix-used building ที่เวียดนาม เป็น international competitionครั้งแรกที่ office ชนะ เปิดตัวโครงการแล้วด้วย


Q10. ทำไมถึงเลือกทำงานที่สิงคโปร์
xA ตอนแรกนี่เพราะเงินอย่างเดียวเลย แต่พอมาทำแล้วก็มีหลายอย่างที่ได้เรียนรู้ทั้งภาษา แล้วก็วัฒนธรรมการทำงานที่ดี ความสม่ำเสมอ teamwork กฎหมายและเจ้าหน้าที่รัฐที่ชัดเจนรัดกุมมาก

Q11. ลักษณะงานการปฏิบัติวิชาชีพ ทำอะไร?
xiA เป็น architectural designer ทำงานส่วน proposal design จนถึงdesign development ต่อจากนั้นงาน
ขออนุญาตและแบบก่อสร้าง จะมี architectural assistance มารับช่วงต่อ (เหมือน junior architect) บางช่วงงาน proposal ไม่เร่งงานก็เปลี่ยนไปช่วยทำแบบขออนุญาต
ชาวต่างชาติที่นี่ส่วนมากเป็น non -register architect ที่จริงการทำงานก็ไม่ต่างกัน แต่การจะขอใบอนุญาตที่นี่ยากกว่าที่ไทยมาก ต้องกรอกรายละเอียดการทำงานทุกวัน3-5ปี ถึงจะมีสิทธ์เอาไปยื่นขอสอบใบอนุญาตได้

Q12. พี่คิดว่า ค่าครองชีพของวิชาชีพสถาปนิกที่นั่นต่างจากไทยมากน้อยแค่ไหน
xiiA ใกล้เคียงกัน ถ้าเทียบจากสัดส่วนรายรับรายจ่าย ค่าครองชีพที่สิงคโปร์จะสูงกว่าไทย ประมาณ3เท่า ซึ่งรวมถึงรายรับด้วย แต่ขนส่งมวลชนที่นี่ดีกว่ามาก ค่าใช้จ่ายเรื่องการเดินทางแค่ 1-2% ของรายได้เท่านั้น
Q13. อุปสรรคในการปฏิบัติวิชาชีพคืออะไร?
xiiiA การตัดสินใจของลูกค้า ,marketing ,กฎหมายควบคุมอาคาร
Q14. คิดว่าลักษณะ หรือทักษะอะไรบ้าง ที่จำเป็นสำหรับคนที่จะเป็นสถาปนิก
xivA ความอดทน ความรับผิดชอบต่อหน้าที่
Q15. ข้อคิดที่สำคัญในการทำงานคืออะไร?
xvA เปิดใจรับฟังความเห็นของคนอื่น อย่าไปอคติ อย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เพราะบางทีคิดว่างานเรามันก็ดีแล้วนะ แต่ลูกค้าไม่ชอบ ก็ต้องยอมรับมาแก้ไข หรือบางทีอยากได้อะไรที่เราคิดว่ามันสวยตรงไหน(วะ) เพราะมีหลายครั้งที่เค้า(คนมีตังค์)ไปเห็นอะไรมามากกว่าเรา แล้วเค้าอยากได้อย่างนั้นบ้าง เราตามไม่ทันก็มี
Q18. คิดยังไงกับสถาปนิกต่างประเทศกับสถาปนิกในประเทศ
xviA เหมือนกัน ขี้ข้าเหมือนกันเลย
Q19. พี่คิดว่าสถาปนิกไทยสามารถสู้กับสถาปนิกต่างประเทศได้มั้ย
xviiA 19-20 ขอตอบรวมกันเลยแล้วกัน ที่จริงตอนที่จบออกมานี่น่าจะเท่ากันเลยนะ เราออกจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ ที่ต่างกันคือมาตรฐานการทำงานต่างกัน คนที่นี่ทำงานมากกว่า จริงจัง สม่ำเสมอ teamwork สำคัญมาก และต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองจะได้ไม่เป็นตัวถ่วงทีม เจ้านายลูกน้องก็ไม่ได้ต่างกันมาก เค้าเปิดรับฟังความคิดเห็นมากกว่าไม่ได้เอาอาวุโสเป็นหลักแบบบ้านเรา ตอนทำงานอยู่ไทยนี่ไม่กล้าไปทวงงานซีเนียร์ เพราะฉะนั้นคนที่นี่ยิ่งอายุมากประสบการณ์มากยิ่งเก่งมาก ทำงานจนกระทั่งงานเสร็จตามเป้า ยังไม่เคยเจอใครโดดงานไปกินเบียร์-เตะบอลเลย
xviiiA
Q20. มีข้อแนะนำอะไรบ้างเกี่ยวกับสถาปนิกรุ่นใหม่ที่กำลังจะจบไปทำงาน
xixA ตั้งใจเรียน เรียนจบแล้วก็ยังอย่าลืมหาความรู้เพิ่มเติมด้วย
Q21. ยุคเศรษฐกิจในปัจจุบันมีผลกระทบต่อสถาปนิกไทยมากหรือน้อยเพียงใด
xxA ช่วงต้นปีนี่กระทบมาก เค้าจะเลือกเอาคนต่างชาติออกก่อน ส่วนใหญ่ถูกลดเงินเดือน แต่โชคดีที่สิงคโปร์ฟื้นตัวได้เร็วมาก ที่จริงคงเป็นเพราะมีการเตรียมตัวรับสถานการณ์ที่ดีของทั้งภาครัฐและเอกชนมากกว่า ตอนแรกยังคิดว่าเค้าตื่นตูมกันเกินไป แต่ก็ได้เรียนรู้แล้วว่าการเตรียมพร้อมรับมือปัญหาไว้ก่อนช่วยได้จริงๆ

Q22. ฝากถึงสถาปนิกรุ่นหลังๆกับรุ่นน้อง สถ. ลาดกระบัง
xxiA ขอให้มีความสุขในการทำงาน จะได้สร้างผลงานดีๆออกมา คณะเราจะได้ดัง 555+
ขอขอบคุณพี่โบว์เป็นอย่างยิ่งสำหรับบทสัมภาษณ์อันมีประโยชน์นี้ครับ

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

ศาสตราจารย์พลเรือตรีสมภพ ภิรมย์ ร.น.





ร.น. ย่อมาจาก ราชนาวี เป็นคำลงท้าย ใช้ประกอบชื่อ และยศทหารสัญญาบัตร สังกัดกองทัพเรือไทย ที่มียศตั้งแต่ เรือตรี ถึง นาวาเอก (พิเศษ) เพื่อให้แตกต่าง และไม่ให้สับสนกับยศทหารสังกัดกองทัพอากาศไทย

ชีวประวัติ

ศาตราจารย์ พลเรือตรี สมภพ ภิรมย์ ร.น. เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๔๕๙ ปีมะโรง ที่บ้านปากตรอกวัดระฆัง บ้านขมิ้น ธนบุรี เป็นบุตรของ นาวาโทหลวงบรรเจิดเรขะกรรม (ชม ภิรมย์) ซึ่งรับราชการเป็นนายช่างนวกรรมกรมยุทธโยธาทหารเรือ มารดาชื่อนางใหญ่ ในด้านชีวิตครอบครัวท่านสมรสกับ นางจุนเจือ เมื่อปีพ.ศ.๒๔๙๗ มีบุตร ๓ คน และปีพ.ศ.๒๔๙๘ ได้สมรสอีกครั้งกับนางประเทือง มีธิดา ๑ คน
ในวัยเยาว์ได้รับการศึกษาชั้นต้นจากโรงเรียนสตรีวัดระฆัง และเรียนภาคค่ำที่โรงเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร จนจบชั้นมัธยมศึกษา หลังจากนั้นได้เข้าศึกษาต่อที่ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนจบปริญญาตรี พ.ศ.๒๔๙๔

เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วได้เข้ารับราชการเป็นสถาปนิกกรมยุทธโยธาทหารเรือ และได้เลื่อนตำแหน่งก้าวหน้าขึ้นตามลำดับจนได้เป็นนายทหารเสนาธิการ
ในขณะนั้นท่านได้รับการชักชวนจากคุณธนิต อยู่โพธิ์ อธิบดีกรมศิลปากรให้มาดำรงตำแหน่งคณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๗ – ๒๕๑๕ ซึ่งท่านได้เป็นผู้ริเริ่มงานวิชาการ ค้นคว้าวิจัยทางสถาปัตยกรรมไทย อาทิเช่น บ้านไทยภาคกลาง กุฎาคาร พระเมรุมาศ พระเมรุและเมรุสมัยรัตนโกสินทร์ ฯลฯ และเป็นผู้ผลักดันให้เกิดหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงสถาปัตยกรรมไทยในเพลาต่อมา
ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๑๕ – ๒๕๑๙ ท่านย้ายมาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร ภายหลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว ท่านก็ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น ได้รับเชิญดำรงตำแหน่งคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ศาตราจารย์สมภพ ภิรมย์ ร.น. ได้รับการเชิญชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม) ปูชนียบุคคลดีเด่นผู้อนุรักษ์มรดกไทยดีเด่น และปูชนียบุคคลด้านสถาปัตยกรรมไทย ปัจจุบันท่านเป็นราชบัณฑิต สำนักศิลปกรรม ราชบัณฑิตยสถาน

การศึกษา
ชั้นประถม โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
ชั้นมัธยม เรียนภาคค่ำที่โรงเรียนวัดบวรนิเวศน์วิหาร
พ.ศ. ๒๔๗๙ เข้าศึกษาที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พ.ศ. ๒๕๐๖ ได้รับประกาศนียบัตรจากโรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศรุ่น ๖
พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้รับประกาศนียบัตรจากโรงเรียนส่งกำลังบำรุงทหารบกรุ่น ๗
พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้รับประกาศนียบัตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่น ๙
การทำงาน
พ.ศ. ๒๔๘๕ – ๒๕๐๑ สถาปนิก กรมยุทธโยธาทหารเรือ (กรมอู่ทหารเรือ)
พ.ศ. ๒๕๐๒ – ๒๕๐๖ ทหารเรือประจำกองนโยบายและแผน กรมส่งกำลังบำรุงกองบัญชาการทหารสูงสุด
พ.ศ. ๒๕๐๗ – ๒๕๑๕ ดำรงตำแหน่งคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
พ.ศ. ๒๕๑๐ นายกสมาคมสถาปนิกสยาม
พ.ศ. ๒๕๑๕ – ๒๕๑๘ ดำรงตำแหน่งคณะบดีกรมศิลปากร
พ.ศ. ๒๕๑๙ ลาออกก่อนเกษียณอายุราชการ
พ.ศ. ๒๕๓๖ – ๒๕๓๙ ดำรงตำแหน่งคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ปัจจุบัน ราชบัณฑิต



เกียรติคุณ
พ.ศ. ๒๕๐๙ ตำแหน่งศาตราจารย์
พ.ศ. ๒๕๒๓ ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร
พ.ศ. ๒๕๒๙ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม)
พ.ศ. ๒๕๓๗ สถาปนิกดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยาม
พ.ศ. ๒๕๓๘ ปูชนียบุคคล ผู้อนุรักษ์มรดกไทยดีเด่นด้านสถาปัตยกรรมไทยดีเด่น
พ.ศ. ๒๕๒๙ ปูชนียบุคคล ด้านสถาปัตยกรรมไทย

















ผลงานการออกแบบ

บ้านพักอาศัย
- บ้านคุณประมุข สุวรรณศิลป์ สุขุมวิท ๒
- บ้านคุณพิศาล รัตตกุล ซอยหลังสวน เพลินจิต
บ้านคุณพิศาล รัตตกุล
- บ้านวิชัย มาลีนนท์ สุขุมวิท ๔๐

พระตำหนัก
พระตำหนักสมเด็จพระภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซอยสันติสุข สุขุมวิท



โรงเรียน
- อาคารกรมแผนที่ทหาร ริมคลองคูเมืองเดิม





- โรงเรียนเตรียมทหาร ถนนพระราม ๔
พระบรมราชานุสาวรีย์ และอนุสาวรีย์


- พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
- อนุสาวรีย์ทหารวีรชน ค่ายเฟรนชิพ จังหวัดนครราชสีมา




อาคารทั่วไป
- อาคารกองทัพ




อาคารกองทัพเรือ
- อาคารธนาคารกรุงไทย กระทรวงการคลัง ถนนพระราม ๑
- อาคารพิธานพานิช ถนนสุรวงศ์
- อาคารพันธุ์พิศคอร์ท ถนนสีลม กรุงเทพฯ
- ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาวังบูรพา กรุงเทพฯ

ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล วังบูรพา



วัดโพธิ์จำลองในโรงเรียมเตรียมทหาร



ผลงานวิชาการ
งานเขียนและตำรา
พ.ศ.๒๕๑๐ เอกสารวิจัยเรื่องการศึกษาประเทศไทยวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.)
พ.ศ.๒๕๑๒ อาชีวะสัมพันธ์ การประกอบอาชีพสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
พ.ศ.๒๕๑๓ กุฎาคาร ทุนสภาวิจัยแห่งชาติ
พ.ศ.๒๕๑๓ ประตูมุขไทยของโลก
พ.ศ.๒๕๑๙ บ้านไทยภาคกลาง ชุดความรู้ไทยของคุรุสภา
พ.ศ.๒๕๒๐ พระเมรุมาศ พระเมรุ เมรุ สมัยรัตนโกสินทร์ งานวิจัย สภาวิจัยแห่งชาติ
พ.ศ.๒๕๒๐ นารายณ์สิบปาง
พ.ศ.๒๕๒๖ เรื่องพระราชพิธีพยุหยาตราชลมารค
พ.ศ.๒๕๓๐ อัครมหาราชาสถาปนิกแห่งกรุงสยาม (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว)
พ.ศ.๒๕๓๙ ศิลปะ สบาย สบาย
พ.ศ.๒๕๔๕ ศิลปะสถาปัตยกรรมกรรมดลใจกวี
พ.ศ.๒๕๔๖ สถาปัตยกรรมไทยกลาโหม
และ
- พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรม ราชบัณฑิตยสถานจัดพิมพ์
- พจนานุกรมศัพท์ศิลปะ อังกฤษ – ไทย ราชบัณฑิตยสถาน
- สารานุกรมศัพท์ดนตรีไทย ภาคประวัติและบทร้องเพลงเถา ราชบัณฑิตยสถานจัดพิมพ์
- สารานุกรมศัพท์ดนตรีไทย ภาคคีต – ดุริยางค์ ราชบัณฑิตยสถานจัดพิมพ์
- ช่อฟ้า นาคเบือน ตุง
- สถาปัตยกรรมพุทธเจดีย์สยาม
- บ้านไทย ๔ ภาค
- เวียง วัด วัง เวิ้ง
- สามก๊กฉบับเสนาธิการ


- ศิลปะ ศิลปะ สบาย สบาย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม จัดพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓๙


- ลายไทยพระเทวาภินิมิต องค์การค้าของคุรุสภาจัดพิมพ์


- ฯลฯ


สรุป
ด้วยบุคลิกที่มุ่งมั่น ขยัน อดทน และมุ่งมั่นไปด้วยเจตนารมณ์ที่จะสืบสานรักษาสถาปัตยกรรมไทย ผนวกกับความเป็นศิลปินของท่าน จึงบันดาลให้เกิดการรังสรรค์ผลงานอันหลากหลายดังที่ได้กล่าวมา ทั้งงานด้านสถาปัตยกรรมไทยแนวประเพณี แนวไทยประยุกต์ และแนวสมัยใหม่ รวมถึงงานด้านอนุรักษ์งานด้านวิชาการ และงานประพันธ์ ซึ่งดำเนินมาตลอดนับตั้งแต่ท่านนับตั้งแต่ท่านเป็นทหารเรือ เป็นคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นอธิบดีกรมศิลปากร กระทั่งเป็นราชบัณฑิต และศิลปินแห่งชาติ
จึงถือได้ว่าท่านเป็นแบบอย่างให้แก่สถาปนิก นักวิชาการสถาปัตย์ ที่มีหัวใจวัฒนธรรมการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมไทย ส่งต่อให้กับคนรุ่นใหม่ต่อไป

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

9 วันกับทริปอาจารย์จิ๋ว 9 สุดท้าย

บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ




วันที่ 9
12 กรกฎาคม 2552

ตื่นมาพร้อมกับความสดชื่นอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็ย้ายข้าวของลงมาเพื่อไปใส่ไว้ในรถ แล้วก็ข้ามไปกินข้าวที่ร้านเดิมเสร็จแล้วก็ออกเดินทางสู่กรุงเทพเมื่อถึงพิษณุโลกเราก็ไปที่วัดพระศรีมหาธาตุซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์สำคัญคู่บ้านคู่เมืองถึง 2 องค์คือพระพุทธชินราศ พระพุทธชินสีห์ และอีก 2 องค์คือพระพุทธศาสดา และพระอัฐารสซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีอิริยาบถยืนประดิษฐานอยู่ทางด้าน
ทิศตะวันออกของวัด รูปแบบของวัดนี้จะมีทางเข้าอยู่ทางด้านทิศตะวันตกซึ่งตามคติการสร้างวัดแบบสุโขทัยนั้นจะสร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันออกแต่ที่มีทางเข้าอยู่ทางทิศตะวันตกนี้เป็นเพราะมีการบูรณะและปรับปรุงใหม่ในสมัยอยุธยาคือจะหันหน้าไปทางแม่น้ำตามคติของทางอยุธยา เพราะว่าเมืองพิษณุโลกมีลักษณะเป็นเมืองอกแตกมีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน อีกทั้งเมื่อหันหน้าไปทางทิศตะวันตกทางขึ้นเดิมของเจดีย์จึงกลายเป็นว่าไปอยู่ด้านหลังคือทิศตะวันออก ผังของวัดก็ได้สเกตซ์มาคร่าวๆตามที่ อ.จิมมี่อธิบาย นอกจากนี้ระเบียงคดจะมี 2 ส่วนคือรอบฐานเจดีย์ตามคติแบบลังกา และล้อมแสดงเขตพื้นที่ของวัดตามคติแบบขอม ทำให้มีการวางพระพุทธรูปที่เปรียบเสมือนภิกษุสงฆ์ล้อมรอบฐานเจดีย์และอีกลักษณะคือวางพิงกำแพงด้านนอกของระเบียงคดส่วนที่ใช้เป็นเขตกำกับบริเวณของวัด ฉะนั้นเมื่อเราเดินไปทางด้านหลังที่เป็นทางเดินซ้อนทับกันของระเบียงคดทั้งสองแบบจะพบว่าพระพุทธรูปนั่งหันไปคนละทางและพบทางขึ้นไปสู่ด้านบนเจดีย์ ถ้าดูในผังที่วาดมาคร่าวๆก็จะเข้าใจง่าย เสร็จเราก็ข้ามถนนไปอีกวัดนึงคือวัดราชบูรณะเข้าไปในตัววิหารซึ่งเป็นลักษณะของวิหารแบบสุโขทัยแท้
อุโบสถของวัดราชบูรณะ

ไม่ตีฝ้าเพดานระนาบซับซ้อน เสริมด้วยจังหวะที่เกิดจากเส้นของกลอน และแป ในส่วนโครงสร้างหลังคานั้นมีแผ่นกระดานรับกลอนของชายคาปีกนก และด้วยระดับของโครงสร้างหลังคาที่ต่างกันทำให้เกิดการแบ่งห้วงของโถงกลางอย่างชัดเจน อีกส่วน
วิหารของวัดราชบูรณะ

ของวัดคือโบสถ์ที่ความสวยงามไม่เท่ากับวิหารอาจเป็นเพราะการบูรณะซ่อมแซมที่อาจไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดเท่าที่ควรทำให้เกิดเป็นอย่างที่เห็น เสร็จแล้วเราก็เดินข้ามสะพานลอยกลับไปกินข้าวกลางวันซื้อของฝากให้น้องและคนที่บ้าน
ภายในวิหารเห็นไม้กระดานรับกลอน
แต่ของฝากของตัวเองนั้นประทับใจมากคือ คมแฝก ราคา 90 บาทจาก 100 บาท เมื่อช็อปปิ้งเรียบร้อย เราก็ขึ้นรถเตรียมตัวมุ่งหน้าสู่ลาดกระบังรวดเดียว ขณะนั่งรถบัสในขากลับนี้ นอกจากกิจกรรมร้องเพลงที่เรานำมาทำแก้ว่างก็มีเหตุการณ์ชวนตื่นเต้นอย่างมากเกิดขึ้น คือเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งบอกความในใจกับเพื่อนผู้หญิงที่ตัวเองชอบซึ่งเค้ามีแฟนแล้ว ด้วยการร้องบอกเป็นเพลงไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับ นศ.ชั้นปีที่5 ก็เป็นเหตุการณ์ปิดท้ายทริปที่ตื่นเต้นมากๆ เราได้แวะซื้อโมจินิดหน่อยแล้วก็มุ่งตรงสู่ลาดกระบังจนมาถึงจุดหมายในเวลาเกือบ 5 ทุ่ม เหตุการณ์ปิดท้ายจริงเกิดขึ้นในช่วงที่เราช่วยกันเก็บกวาดของลงจากรถผลก็คือของฝากหายไปหนึ่งถุงเป็นโมจิและกาละแมจากพิษณุโลก จนวันนี้ก็ยังไม่เจอ แล้วเราก็แยกย้ายไปกินข้าวกลับหอนอนหมดแรง.....จบ

9 วันกับทริปอาจารย์จิ๋ว 8

บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ


วันที่ 8
11 กรกฎาคม 2552

วันนี้เราออกจากที่พักเร็วกว่าปกติเพื่อจะไปที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียงอีกครั้งเพื่อทำการเดินชมและถ่ายรูปอย่างเต็มที่ ก่อนไปก็ข้ามไปกินข้าวที่ร้านก๋วยจั๊บร้านเดิม เมื่อไปถึงวัด อ.จิ๋วก็ชี้แจงเกี่ยวกับที่นี่เล็กน้อย วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานของพระธาตุเชลียง
มีการสันนิษฐานว่าก่อนที่จะมาเป็นพระธาตุอย่างที่เราเห็นนี้คือเป็นลักษณะพระธาตุทรงแบบอยุธยาในสมัยที่สุโขทัยรุ่งเรืองน่าจะเป็นพระธาตุทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ซึ่งเป็นลักษณะที่แพร่หลายในสมัยสุโขทัยและเมื่อเข้าสู่ยุคของกรุงศรีอยุธยาได้มีการสร้างพระธาตุทรงอยุธยาครอบของเดิมโดยดูได้จากบัวขนาดใหญ่ด้านใน วัดพระศรีฯนี้ตั้งอยู่ด้านนอกห่างจากกำแพงด้านใต้ของเมืองศรีสัชนาลัยประมาณ 1.9 กม. ภายใน


บนซุ้มประตูทางเข้าวัด


วัดล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลงแท่งกลมปักเรียงชิดติดกันเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า ซุ้มประตูทางเข้าเป็นแบบปราสาทขอมยอดเป็นรูปพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 4 พักตร์ ระเบียงคดรอบฐานพระปรางค์มีหลายชั้นแยกระดับของภิกษุ พุทธศาสนิกชน มีความคล้ายคลึงกับที่นครศรีธรรมราชสามารถเรียกได้อีกอย่างว่าทับเกษตร และที่สำคัญคือพระพุทธรูปปางลีลาที่อยู่ทางด้านซ้ายของพระประธานมีความสวยงามในระดับโลกแสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้ปั้นที่มีความเลื่อมใสเข้าใจในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากจนสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นรูปธรรมได้อย่างดีมาก แล้วก็เดินถ่ายรูปกันเรื่อยไปจนได้เวลาต้องย้ายที่ เราก็ไปต่อกันที่วัดต่อไปคือวัดกุฎีรายซึ่งเหลือเพียงมณฑป 2 หลัง สิ่งที่น่าสนใจคือเป็นอาคารก่อด้วยศิลาแลงทั้งหลังรวมทั้งหลังคาที่มีรูปทรงจั่วล้อเลียนหลังคามุงกระเบื้อง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นกิริยาแบบนั่ง และอีกอย่างคือมีการก่อซุ้มประตูแบบกรีก Early period อีกแล้ว เมื่อเสร็จภารกิจที่นี่เราก็ไปต่อที่วัดมหาธาตุความประทับใจครั้งแรกที่ได้เห็นคืออาณาบริเวณกว้างขวางมากและโบราณสถานที่เหลืออยู่ยังมีร่องรอยแห่งความสวยงามอยู่มาก พื้นที่ส่วนประธานของวัดมีเจดีย์ประธานแวดล้อมด้วยเจดีย์บริวารแปดทิศ การเดินเพื่อชมวัดนี้มีประเด็นเกี่ยวกับการวางทางเดินและความรู้สึกที่เกิดเมื่อเดินผ่านแล้วต้องเลี้ยวหรือเดินไปต่อทางไหน ทางเดินแคบบ้าง ใหญ่บ้างกับอาคาร เจดีย์ต่างๆที่วางเรียงรายอย่างมากมาย พระพุทธรูปปรางกิริยายืนที่มีผนังโอบล้อมอย่างแคบๆเกิดเป็น space ต่างออกไปจากที่พระพุทธรูปตั้งอยู่กับอากาศธรรมดาแบบที่เราเห็นทั่วไปเกิดเป็นการสร้างจุดเด่นทำให้รับรู้อีกแบบหนึ่ง พวกเราก็เดินกันไปถ่ายภาพกันไปแบบร้อนมากเพราะวันนี้แดดเปรี้ยงจริงๆเพราะว่าเป็นวัดใหญ่ทำให้องค์ประกอบในวัดนั้นมากมายให้ได้ดูกันอย่างเต็มที่ พอเราเสร็จจากวัดมหาธาตุเราก็ไปต่อกันที่วัดศรีสวายซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวัดมหาธาตุ ใกล้กับกำแพงเมืองสุโขทัยด้านทิศใต้ โบราณสถานสำคัญประกอบไปด้วยปรางค์ 3 องค์มีรูปแบบของขอมลักษณะของปรางค์ค่อนข้างเพรียวมีลวดลายปูนปั้นบางส่วนคล้ายกับของจีน พบทับหลังสลักเป็นรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ ชิ้นส่วนของเทวรูปและศิวลึงค์ ด้านหน้ามีวิหาร 2 หลังสร้างเชื่อมต่อกัน ล้อมบริเวณวัดด้วยกำแพงก่อศิลาแลง ยอดพระปรางค์ที่มีการสลักลวดลายใช้การ fade out จากด้านล่างชัดเจนเห็นรายละเอียดมากสุดพอค่อยๆสูงขึ้นไปก็ลดทอนรายละเอียดลง เมื่อเสร็จแล้วเราก็ไปที่ศูนย์เผยแพร่ความรู้ประวัติศาสตร์สุโขทัยขณะนั้นเองความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเข้าจู่โจมแบบเต็มที่ อาจเป็นเพราะตื่นเช้าด้วยแล้วก็เดินกลางแดดร้อนแรงด้วย พอมาถึงที่นี่ก็ไม่มีแรงรับข้อมูลแล้วเดินไปเดินมาในอาคารสักพักพี่วิทยากรก็มาถึงและบรรยายประวัติศาสตร์สุโขทัยให้ฟัง ช่วงเวลานั้นข้าพเจ้าขอกินแรงเพื่อนเล็กน้อยแอบงีบบนโซฟาจนพี่เขาบรรยายเสร็จ ตื่นมาก็ไปถ่ายรูปเดินดูบริเวณสักหน่อย ตัวอาคารเป็นรูปแบบสุโขทัยวัสดุมีทั้งคอนกรีตและไม้แต่ก็มีรายละเอียดที่น่าสนใจอยู่เช่นตัวเหงาขนาดใหญ่กว่าปกติ บัวหัวเสาที่ไม่เคยเห็นแต่ก็ดูสวยงามเข้าสัดส่วน และการวางสัดส่วนอาคารที่ดูเหมาะสมกลมกลืน แล้วก็ไปต่อกันอีกที่วัดพระพายหลวงซึ่งมีลักษณะของขอมอย่างชัดเจน สันนิษฐานว่าก่อสร้างก่อนตั้งสุโขทัยเป็นราชธานี ที่เสาวิหารยังเห็นช่องสำหรับใส่ขื่อวางเต้าหลงเหลืออยู่ และมีวิหารพระสี่อิริยาบถและมณฑปอยู่ใกล้ๆกัน ลักษณะมณฑปก่อสร้างเป็นแกนรอบแกนประดิษฐานพราะพุทธรูปขนาดใหญ่ใน 4 อิริยาบถคือ เดิน นั่ง และยืน แต่ที่เหลือให้เห็นนั้นน้อยจนดูแทบไม่ออก วัดต่อไปที่เราไปกันก็เรียกว่าเป็นไฮไลท์ของวันนี้ได้เหมือนกัน คือ วัดศรีชุม ด้วยแสงอ่อนๆของแดดเวลาเย็นประกอบกับอาคารทรงสี่เหลี่ยมตันเจาะช่องขนาดใหญ่พอให้เห็นส่วนของพระพุทธรูปอิริยาบถนั่งขนาดใหญ่เท่าตึก 4 - 5 ชั้นที่ประดิษฐานอยู่ภายใน ก็ทำให้เกิดเป็นภาพที่สวยงามเหมาะกับเป็นวัดสุดท้ายของวันนี้อย่างแท้จริง รูปแบบของอาคารก็จะมีวิหารอยู่ด้านหน้าอาคารสี่เหลี่ยมตันขนาดใหญ่นั้นเองเราก็บันทึกภาพกันจนพอประมาณแล้วก็มาซื้อของชำร่วยกันที่ร้านหน้าทางเข้าวัดซึ่งเรียกว่าเหมากันจนหมดร้าน ของที่ซื้อก็จะนำไปฝากน้องรหัสของแต่ละคนนั่นเอง ส่วนข้าพเจ้าไม่ได้ซื้อเท่าไหร่เพราะกลัวซ้ำกันมากๆเดี๋ยวน้องเบื่อ ภารกิจเสร็จสิ้นก็เป็นการจบการเดินทางชมโบราณสถานสุโขทัยในวันนี้อย่างสวยงาม เป็นวันที่เหนื่อยมากที่สุดวันหนึ่งก่อนเราจะกลับโรงแรมก็แวะกันที่จุดชมวิวบนสันเขื่อนอะไรก็จำชื่อไม่ได้ ถ่ายรูปแบบมืดๆไปจนพอใจกันก็ขึ้นรถพี่แป๊ะกลับสู่ที่พัก เดินไปกินข้าวที่ร้านเดิมที่กินทุกวันตั้งแต่มาสุโขทัยอิ่มแล้วก็กลับห้องพัก เตรียมข้าวของเพื่อพร้อมที่จะกลับกรุงเทพในวันพรุ่งนี้ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เข้านอนเตรียมตัวสู่วันพรุ่งนี้

9 วันกับทริปอาจารย์จิ๋ว 7






















บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ










วันที่ 7
10 กรกฎาคม 2552

วันนี้หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็ข้ามถนนไปกินข้าวอีกฝั่งถนนก่อนที่จะเดินทางไปที่สนามบินสุโขทัย เมื่อไปถึงก็เริ่มฟังการบรรยายจาก อ.จิ๋วและตามด้วยพี่ปูผู้มาเป็นวิทยากรให้เราเข้าใจถึงอาคารสนามบินนี้ซึ่งพี่ปูจบโบราณคดีจากศิลปากรแล้ว
มาทำงานดูแลที่นี่ สนามบินสุโขทัยเป็นสนามบินเฉพาะของสายการบินบางกอกแอร์เวย์คือมีเฉพาะสายการบินนี้ที่มาลงที่นี่ ออกแบบโดยบริษัทสถาปนิก Habita อาคารสนามบินนี้ได้รับรางวัลเกี่ยวกับการจัดการอาคารดีเด่นเช่นไม่สร้างมลภาวะจากสมาคมสถาปนิกสยามติดต่อกัน 4 ปี(มั้ง) รูปแบบของอาคารเป็นทรงไทยแบบล้านนา ซึ่งผู้ออกแบบมีความตั้งใจที่จะล้อเลียนลักษณะไทยโดยเฉพาะลักษณะสุโขทัยแต่ไม่ได้ถอดลักษณะสุโขทัยมาตามโบราณคดีแต่เข้าใจในลักษณะและรูปแบบเช่น ความลาดของหลังคา กระเบื้องเป็นยังไง วิหารเป็นยังไง ดูได้จากเสาของอาคารผู้โดยสารขาออกที่เรายืนอยู่ที่มีการลดทอนรายละเอียดจากเดิมของสุโขทัยที่มีการประดับบัวเหลือแค่เสากลมดังที่เห็น หรือในส่วนของหลังคาแทนที่จะใช้ม้าต่างไหมแต่กลับมาใช้จันทันแล้ววางระแนงวางแปเหมือนลักษณะธรรมดาแต่ตัวขนาดไม้เล็กลงและมีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาประกับชิ้นส่วนเข้าด้วยกันด้วยไม้และเหล็กแสดงให้เห็นถึงการใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างสมัยใหม่เข้าไปร่วมด้วย ผนังรูปแบบสุโขทัยนั้นจะมีการฉาบด้วยปูนแต่ที่นี่เป็นผนังโชว์แนวอิฐซึ่งมาจากการที่ศึกษาจากโบราณสถานแล้วเห็นระเบียบของอิฐที่เหลืออยู่เกิดความประทับใจจึงนำมาใช้ก็เข้ากันได้ไม่เคอะเขิน ทั้งหมดทั้งปวงได้แสดงให้เห็นถึงการเข้าใจภูมิปัญญาของอดีตแล้วนำมาแก้ไขบางรายละเอียดด้วยความรู้ของปัจจุบัน และด้วยความเข้มแข็งของอดีตรายละเอียดของปัจจุบันจึงถูกปิดบังซ่อนอยู่ในระเบียบของอดีตนั้นนั่นเอง ด้วยความที่เป็นอาคารที่ออกแบบมาเพื่อประหยัดพลังงานด้วย ตัวอาคารส่วนใหญ่จึงไม่มีการกั้นผนังและติดแอร์ เครื่องลำเลียงกระเป๋าแบบสายพานก็ไม่มีเพราะผู้โดยสารที่มาลงนั้นมีไม่มากก็ใช้พนักงานช่วยกันขน ในส่วน Lounge ของอาคารผู้โดยสารมีระบบรดน้ำบนหลังคาเพื่อลดอุณหภูมิ เป็นต้น การจัดวางผังของกลุมอาคารรวมไปถึงแลนด์สเคปอิงคติในแบบสุโขทัยและล้านนา เช่น การวางเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ให้เห็นลักษณะของสุโขทัย ศาลาท่าน้ำสำหรับต้อนรับผู้โดยสารขาเข้าเลียนแบบสมัยโบราณที่มีการสัญจรทางน้ำ พวกเราก็นั่งรถสำหรับผู้โดยสารในการชมบริเวณสนามบินและพี่ปูก็คอยอธิบายในทุกที่ที่เราไปอย่างไม่กลัวแดดเพราะแดดร้อนมาก แต่ส่วนที่น่าสนใจและน่าจะสำคัญที่สุดในทัศนะของข้าพเจ้าน่าจะอยู่ที่การจัดการสภาพแวดล้อมที่ตั้งอยู่ให้อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ไม่ว่าจะพื้นที่ทำการเกษตร เลี้ยงสัตว์ถึงขนาดเป็นสวนสัตว์ การอยู่ร่วมกันกับชาวบ้านที่ไม่ได้ไปสร้างอย่างเดียวแต่ก็คืนพื้นที่ให้ชาวบ้านได้เข้ามาทำการประกอบอาชีพเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วย เห็นแล้วก็นึกถึงสุวรรณภูมิดินแดนที่ราบลุ่มชุ่มน้ำแหล่งระบบนิเวศน์ที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในภาคกลางซึ่งเดี๋ยวนี้ถูกทับด้วยรันเวย์ยาวที่สุดและเสี่ยงจะแตกร้าวมากที่สุดเหมือนกัน ถ้าได้คำนึงถึงข้อสำคัญแบบเดียวกันนี้กับสนามบินสุโขทัยก็น่าจะดี หลังจากเยี่ยมชมทั้งส่วนสนามบินและส่วนโรงแรมและส่วนอื่นๆเราก็มารับประทานอาหารที่ส่วนร้านอาหาร นานมากๆกว่าจะได้กินแต่ละจานนานอย่างไม่น่าเชื่อทำให้เราใช้เวลาอยู่ที่สนามบินสุโขทัยนี้นานขึ้น แล้วจากสนามบินเราก็ไปกันที่ศูนย์ศึกษา – อนุรักษ์เตาสังคโลกที่นี่ อ.จิ๋วปล่อยให้ อ.น้ำเป็นผู้นำทริป เป็นอาคารที่น่าสนใจเหมาะจะนำมาเป็นอาคารตัวอย่างสำหรับ Thesis ข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และที่นี่ก็เป็นอีกที่ที่เป็นการนำเอาระเบียบแบบสุโขทัย – ล้านนาเข้ามาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ อย่างแรกที่ อ.น้ำชี้ให้เห็นคือการแก้แนวเอียงของตัวอาคารด้วยเส้นรั้วยึดขอบที่เรียกว่า Blend ทำให้ถนนกับตัวอาคารไปด้วยกันได้ ด้วยความที่ผู้ออกแบบเป็นภูมิสถาปนิกการออกแบบทางเดินให้มีการเดินเข้า-ออก เข้า-ออก ทำให้รู้สึกว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง รูปลักษณ์ของอาคารใช้ช่องตั้ง ประตู หน้าต่าง คล้ายๆกับที่เราได้ไปดูกันที่เชียงใหม่ การใช้ผนังก่ออิฐ รั้วศิลาแลง พวกเราก็เดินดูกันจนสาแก่ใจก็บังเอิญมีกลุ่มของนักศึกษา ม.หัวเฉียวเข้ามาดูด้วยก็ป๊ะกันแต่ก็ต้องจากกันด้วยความรวดเร็วเพราะเรายังมีที่ต้องไปต่ออีก ซึ่งต่อไปก็จะกลายเป็นเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์คือเข้าสู่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ที่แรกที่เข้าไปก่อนคือวัดเจดีย์เก้ายอดเราก็ได้เดินเข้าไปถ่ายรูปและสัมผัสการรับรู้ในการออกแบบของคนสมัยก่อนที่สามารถออกแบบให้สามารถอยู่ร่วมกันกับธรรมชาตออย่างกลมกลืน ส่วนตัวแล้วข้าพเจ้าคิดว่าการมาเยี่ยมชมโบราณสถานนั้นสนุกตรงที่เราได้เห็นอดีต ซากปรักหักพังที่ชวนให้จินตนาการถึงภาพในอดีตของสถานที่นี้ว่าจะเคยเป็นอย่างไรมา ภาพอาคารที่เคยตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ผู้คนที่เคยใช้งาน การได้เยี่ยมชมโบราณสถานสำหรับข้าพเจ้านั้นเป็นไฮไลท์ในการมาทริปครั้งนี้เลยทีเดียว ในการมาถึงที่อุทยานฯศรีสัชนาลัย อ.จิ๋วก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวคร่าวๆเกี่ยวกับที่นี่ก่อนว่าเป็นเมืองลูกหลวงของสุโขทัย ในกาลก่อนนั้นกษัตริย์ที่จะครองสุโขทัยได้ต้องมาครองเมืองลูกหลวงหรือศรีสัชนาลัยนี้ก่อนซึ่งทั้ง 2 เมืองเปรียบเป็นดังเมืองพี่เมืองน้องกันมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ส่วนวัดเจดีย์เก้ายอดนี้ก่อสร้างด้วยศิลาแลงบนระดับของ contour สิ่งน่าสนใจของคือระเบียบของการก่อเจดีย์ด้วยการทำ Wall bearing ด้านในเจดีย์จะเป็นโพรงโปร่งหมดโดยเฉพาะทางเข้ามีการก่อเป็นช่องทางเข้าแล้วเอาแผ่นศิลาแลงสามเหลี่ยมมายันกันคล้ายกับกรีกยุค Early period ที่ก่อทางเข้าเป็นรูป Arch แล้วที่ด้านบนสุดมีหินสามเหลี่ยมซึ่งเรียกว่าอะไรก็จำไม่ได้เสียบเอาไว้เพื่อให้เกิดเป็นแรงอัดทำให้ทรงตัวอยู่ได้แล้วที่นี่ศรีสัชนาลัยก็มีการทำเช่นเดียวกัน อีกสิ่งที่น่าสนใจคือการสร้างอาคารบน contour โดยใช้ศิลาแลงก่อลดหลั่นต่างกันแล้วเชื่อมศิลาแลงเข้ากับฐานอาคาร ค่อยๆวางยักเยื้องเพื่อปรับระดับจาก contour เข้าสู่ระนาบราบอย่างแนบเนียน เราก็ทำการเดินชมและบันทึกภาพไว้แล้วก็ย้ายขบวนต่อไปที่ส่วนอุทยานฯศรีสัชนาลัยโดยต้องผ่านกำแพงเมืองและป้อมประตูชื่อว่าป้อมและประตูรามณรงค์ ซึ่งเป็นป้อมประตูทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง ในช่วงที่เราเดินผ่านประตูเมืองเข้าไปนี้ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาค่อนข้างหนักทีเดียว แต่ก่อนยืนหลบกันอยู่สักพักฟ้าก็เริ่มสว่าง สามารถเริ่มดำเนินการกันต่อไปได้ ซึ่งก็เป็นการเดินชมซากปรักหักพังที่ยังคงเหลือร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองในอดีตและบันทึกภาพไว้ในเมมโมรี่การ์ดของกล้องของแต่ละคน ในเมืองเราก็เดินเข้าไปสัมผัสหลายๆที่ เช่น วัดนางพญาที่มีชื่อเสียงว่าลวดลายปูนปั้นประดับผนังของวิหารมีชื่อเสียงว่างดงาม เจดีย์เจ็ดแถว วิหารหลวง กำแพงที่ก่อด้วยศิลาแลงไม่สูงเกินหัว การเจาะช่องหน้าต่างตามตั้ง ในช่วงนี้ก็ถึงคราววิกฤตของข้าพเจ้าคือกล้องแบตหมดทั้งๆที่เหลือที่ที่ต้องไปอีกหลายที่จะใช้กล้องฟิล์มแสงแดดก็ค่อยๆหมดไม่กล้าถ่ายมากเพราะกลัวภาพออกมาจะเบลอจากแสงไม่พอ กลายเป็นว่าเดินไปสัมผัสบรรยากาศและดูโบราณสถาน พยายามมองให้เห็นแบบที่ อ.จิ๋วและ อ.น้ำ ชี้เอาไว้ทั้ง space ,circulation ,sequence และอื่นๆที่เกิดจากการออกแบบอาคารในสมัยก่อนและเหลือทิ้งเอาไว้ให้เราได้สัมผัสและทำความเข้าใจในยุคปัจจุบัน ตัวข้าพเจ้าเองก็ตั้งใจบ้างเล่นบ้างแต่ก็พยายามที่จะทำความเข้าในในหลากหลายประเด็นที่ อ.ทิ้งเอาไว้ไม่รู้ก็ถามบ้าง เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็คิดว่าสักวันคงต้องมาเองอีกสักครั้งหนึ่งเพื่อจะได้มีเวลาอยู่กับมันให้มากกว่านี้ เราก็ไปถ่ายรูปกันจนมืดมากแล้วซึ่งที่สุดท้ายนั้นมืดจนแทบไม่มีแสงคือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง มองอะไรก็ไม่เห็นที่สุดก็ต้องกลับแล้วมาต่อกันในวันพรุ่งนี้เช้ามากๆ อ.น้ำบอกว่าตื่นตี 5 กลับไปที่พักข้าพเจ้าก็รีบจัดแจงตัวเองให้พร้อมสู่การเดินทางวันพรุ่งนี้ที่น่าจะต้องใช้สมองและใจอย่างเต็มที่แน่นอน

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

9 วันกับทริปอาจารย์จิ๋ว 6

บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ



วันที่ 6
9 กรกฎาคม 2552

วันนี้เป็นวันที่สดใสอีกครั้งเพราะจะไปกินข้าวเช้ากันใน ม.เชียงใหม่ อีกครั้งและคราวนี้ก็ไม่น่าพลาดเพราะวันนี้เค้าเปิดเรียนกันแล้ว ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเป็นมื้อ อ.ที่มีความสุขที่สุดครั้งนึงในการมาทริปนี้ไม่น่าเชื่อว่าเด็กๆ ม.เชียงใหม่ นี้จะขาวกันได้ทุกคนแทบจะไม่เห็นคนผิวสีเดียวกันกับเราเลย แล้วเหมือนฟ้าผ่าได้พบเจอคนที่ถูกใจอย่างแปลกประหลาดแต่ก็เป็นเหมือนดอกไม้ที่เราได้แต่ชมสัมผัสไม่ได้ ไหนๆมาแล้วก็ขอเดินเยี่ยมชมภายในบริเวณอาคารข้างเคียงสักเล็กน้อย พบว่าอาคารสร้างบนคอนทัวร์เดินสนุกดีผู้คนก็แตกต่างจากลาดกระบังจนไม่อยากจะกลับ แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราและแล้วเราก็ต้องไปต่อที่ที่ไม่ไกลจาก ม.เชียงใหม่มากนักคือสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม เป็นที่อนุรักษ์บ้านพื้นถิ่นเก่าแบบล้านนา หรือเรือนขนาดใหญ่ขึ้นมาซึ่งเป็นของเก่าย้ายนำมาตั้งไว้ในพื้นที่นี้ ขณะนั้นฝนก็ตกลงมาพอดีพวกเราจึงจำต้องเข้าไปหลบฝนในเรือนไทลื้อ จากตำบลหลวงเหนือ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ แล้วฟังที่ อ.จิ๋วบรรยายเล็กน้อยก่อนไปเดินชมและถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก นอกจากเรือนไทลื้อนี้เราก็เดินชมอีกหลายๆเรือน ไม่ว่าจะเรือนที่เป็นยุ้งฉาง เรือนชาวเวียงเชียงใหม่(พญาปงลังกา)เป็นเรือนไม้ขนาดกลางซึ่งเดิมตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองเชียงใหม่แต่เจ้าของอนุญาตให้รื้อย้ายมาตั้งไว้ที่นี้ เรือนพื้นถิ่นแม่แตงเป็นการพัฒนามาจากเรือนเครื่องผูกแบบเรือนเดี่ยว เรือนทรงปั้นหยาของหลวงอนุสารสุนทรและอีกหลายๆเรือนนั้นมีความสวยงามน่าสนใจแตกต่างกันไปตามโครงสร้าง ผัง วัสดุ รูปแบบ ลักษณะต่างๆ ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าถ้ามีบ้านแบบนี้สักหลังก็คงจะดีเอาไว้ให้แม่อยู่ตอนแก่ พอเสร็จจากที่นี่เราก็ไปต่อโดยแวะกินข้าวที่ริมถนนเหมือนวันแรกที่มาเชียงใหม่ อิ่มแล้วเราก็ไปกันที่หมู่บ้านแบบพื้นถิ่น ชื่อบ้านแม่จอกนอกเราก็เดินตาม อ.จิ๋วไปบ้างเดินเล่นบ้างข้าพเจ้าเองรู้สึกว่าเริ่มเบื่อๆการถ่ายรูปบ้างนิดหน่อยทำให้ต้องคิดหาการถ่ายแนวทางใหม่ๆบ้างเพื่อสร้างความสนุกสนานในการทำงาน ลักษณะของการเข้าไปชมในหมู่บ้านนี้ก็จะเริ่มเป็นการเดินตามใจมากกว่า แต่ก็รับรู้ได้ถึงวิถีชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติ การประกอบอาชีพแบบพอเพียง เช่น การเกษตร ปศุสัตว์ โครงสร้างอาคารแสดงออกมาจากการใช้สอยที่จำเป็นจริงๆ บางบ้านมีการติดจานดาวเทียมอันใหญ่มากถ้าเทียบกับจานแดงของทรู ซึ่งมันก็อยู่ด้วยกันได้ทั้งเทคโนโลยีวัสดุสมัยใหม่กับบ้านไม้อายุน่าจะเก่าแก่ที่มีร่องรอยของกาลเวลาฉาบอยู่ ข้าพเจ้าเองก็เริ่มเดินถ่ายรูปเล่นกับเพื่อนบ้างถ่ายผู้คนบ้างมีหยุดวาดรูปตรงสะพานข้ามแหล่งน้ำสายหนึ่งห่างออกไปจากสะพานที่ยืนอยู่เห็นคุณป้านุ่งผ้าถุงนั่งซักผ้าอยู่ ดูแล้วเป็นภาพที่มีความเป็นธรรมชาติโดยทีมนุษย์อยู่ร่วมด้วยอย่างพึ่งพานึกแล้วอยากมีสถานที่แบบนี้ให้ได้ไปพักผ่อนหลบลี้จากชีวิตวุ่นวายในเมืองบ้าง ซึ่งความจริงก็เคยมีแต่บัดนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วเกิดจากสภาพสังคม เศรษฐกิจบีบคั้นทำให้ไม่สามารถรักษาของสำคัญที่มีค่าในช่วงชีวิตหนึ่งเอาไว้ได้ ข้าพเจ้าจึงตั้งปณิธานไว้ว่าสักวันเราต้องมีแบบนี้ให้แม่อยู่บ้าง พอเดินจากสะพาน อ.ไก่ก็ชี้ทางไปที่ฝายของแหล่งน้ำเมื่อกี้ เมื่อไปถึงก็สนุกกันเลยถ่ายรูปกันทุกมุมเล่นน้ำกันพอให้ชุ่มฉ่ำเสร็จจากที่นี่เราก็เดินทางไปขึ้นรถเพื่อไปต่อที่จุดหมายต่อไปจังหวัดต่อไป สุโขทัยดินแดนประวัติศาสตร์อันยาวนานของไทย ด้วยที่วันนี้เราต้องเข้าห้องพักที่โรงแรมแห่งใหม่ก็คาดหวังไว้ในใจว่าห้องพักจะดีใกล้เคียงกับที่ลำปาง เมื่อไปถึงก็ไม่ผิดหวังถึงจะแคบกว่าที่ลำปางแต่สิ่งอำนวยความสะดวกก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันแถมมีระเบียงให้ตากผ้าด้วย อีกทั้งมีที่กินข้าวกับซื้อของได้ไม่ไกลเกินระยะเดินของเท้า หลังจากจัดแจงข้าวของซัก กกน. เสื้อยืดเอาไว้อาบน้ำแปรงฟันก็นอนกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วก็หลับไปด้วยความเหนื่อย

9 วันกับทริปอาจารย์จิ๋ว 5

บันทึกวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น โบราณสถาน อารยธรรมแห่งเมืองเหนือ













วันที่ 5
8 กรกฎาคม 2552

ตื่นเช้ามาด้วยการปลุกของเพื่อนๆพร้อมกับความงัวเงียขั้นสุดยอดผลจากการแพ้ใจตัวเอง เหมือนทั้งๆที่รู้ว่าเช้ามาก็ไม่อยากตื่นแต่ก็ดันไม่ยอมนอนเพราะความสนุกชั่วข้ามคืน ลุกจากที่นอนแล้วก็อาบน้ำแปรงฟันอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ออกมาพร้อมขึ้นรถบัสอาจเป็นเพราะว่ารู้ว่าเช้านี้เราจะไปไหนในช่วงเช้า นั่นคือจะไปกินข้าวเช้าใน ม.เชียงใหม่นั่นเอง แล้วเป็นไง...โรงอาหารใน ม.ปิดเพราะวันนั้นเป็นวันหยุด วันสำคัญทางศาสนา แล้วเราก็กินข้าวริมถนนข้างๆ ม.เชียงใหม่ หลังจากจัดการรับประทานอาหารปลดทุกข์ปลดโศกเรียบร้อย เราก็นั่งรถไปที่วัดที่
ชิดริมถนนมากๆชื่อว่าวัดพันเตา ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยมีส่วนสำคัญที่เราจะมาดูคือพระวิหารหอคำหลวงซึ่งประเด็นสำคัญของวิหารนี้คือเป็นวิหารขนาดใหญ่ที่ใช้โครงสร้างไม้เป็นหลัก และคอนกรีตเป็นส่วนผนัง อีกทังรูปแบบของอาคารเป็นแบบของล้านนาแท้ที่มีความประณีตงดงามทั้งสัดส่วน ลวดลาย การใช้วัสดุ รายละเอียดทั้งบัว คันทวย ผนังฝาประกน ช่องแสงด้านข้าง มีการลดหลั่นผนังตามระดับความสูงของหลังคา ด้านในก็มีพระพุทธรูปประดิษฐานขนาดไม่ใหญ่มากเดินดูถ่ายรูปกันเล็กน้อย อ.จิ๋วก็เรียกไปชี้แจงถึงประเด็นสำคัญของวัดแห่งนี้ ข้าพเจ้านั่งฟังไปหาวไปรู้สึกว่าวันนี้กลับที่พักจะต้องรีบนอนเลยไม่งั้นพรุ่งนี้จะรู้สึกไม่พร้อมแบบวันนี้แน่ๆเลย ครั้งนี้ฟังแบบเข้าหูขวาทะลุหูซ้ายแบบสุดๆแต่พื้นที่ที่เรานั่งอยู่นั้นมีหลังคาคลุมทำจากวัสดุพื้นถิ่นคือไม้ไผ่ มุงด้วยใบอะไรซักอย่าง เป็นเครื่องผูกสมบูรณ์แบบจริงๆ พอ อ.จิ๋วพูดเสร็จเราก็ไปถ่ายรูป เดินสำรวจกันเล็กน้อยแล้วก็ออกเดินไปตามถนนอีกหน่อยเลี้ยวหัวมุมก็เจอกับโรงแรม U เชียงใหม่ ที่มีผนังคอนกรีตสีขาววางกั้นเป็นทางเข้า เข้าไปอีกนิดเราก็เห็น อ.ทรงไทยสีไม้ทึมๆเหนือกำแพงดูโบราณ ขัดกับผนังคอนกรีตที่ดูแล้วสมัยใหม่มากๆทางด้านซ้ายของประตูทางเข้าใหญ่นั้นเป็นหน้าต่างกรอบไม้สีน้ำตาลลูกฟักกระจกความสูงประมาณคนยืนข้างในของกระจกน่าจะเป็นส่วนนั่งรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มมีฝรั่ง2-3นั่งอยู่เห็นพวกเรามากันก็คงงงว่ามาทำอะไรกันเยอะแยะ อ.เจ็งกับ อ.จิ๋ว เสริมให้ว่าเจ้าของที่มาทำโรงแรมนี้คือเจ้าของเครือธนายงที่ทำทางด่วนถนนอะไรเทือกนั้น โดยที่นี้เป็นที่ของเจ้านายเก่าทางภาคเหนือเรือนไม้เก่าที่เห็นก็คือของเจ้านายท่านนั้น เมื่อมีการปรับปรุงเป็นโรงแรมก็ยังคงรักษาอาคารหลังเก่าไว้เพื่ออนุรักษ์และสอดแทรกสถาปัตยกรรมสมัยใหม่เข้าไปด้วยอย่างไม่ขัดเขินซึ่งไม่ใช่เพียงเรือนเก่าเท่านั้นแต่ในส่วนต่างๆก็มีรายละเอียดแบบไทยเข้าไปร่วมอยู่ด้วยแสดงให้เห็นว่าเพียงแค่เรารู้จักการประยุกต์ ของเก่าก็ใช่ว่าจะตกยุคหรือของไทยก็ใช่ว่าจะล้าสมัย ไม่ต้องไปวิ่งตาม Saha Hadid, Herzog De Meuron, Rem Koolhaas หรือสถาปนิกร่วมสมัยท่านอื่นๆเราก็มีสถาปัตยกรรมร่วมสมัยที่อยู่บนฐานของความเป็นไทยไม่ทิ้งรากเหง้าแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธกระแสของโลกดังที่ อ.จิ๋วพยายามสั่งสอนพวกเราอยู่เสมอ ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่เราต้องยึดเป็นหลักในการเรียนรู้แบบไม่ประมาทว่าเรามีวัฒนธรรม และวิถีแบบไทยการเรียนรู้ตามสากลเป็นเรื่องที่ถูกต้องแต่เพียงเรานำมาพัฒนาบนรากฐานของเราจนกลายเป็นแบบของเราแบบไทยๆดังเช่นที่เห็นได้ชัดจากญี่ปุ่นที่พยายามใส่วิถีแบบของตัวเองลงไปในการออกแบบ จนสถาปนิกหลายๆคนของญี่ปุ่นได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดของสถาปนิกโลก ถ้าเราทำได้สักวันต้องมีสถาปนิกไทยได้ Pritzker Prize อย่างแน่นอน อาจจะฝันไกลแต่ข้าพเจ้าคิดว่าไม่น่าจะยากกว่า “บอลไทย ไปบอลโลก” มั่นใจได้ การชมโรงแรมยูนี้ทำได้เพียงเดินถ่ายรูปอยู่ภายนอกและเดินเข้าไปได้แค่ส่วน Lobby เท่านั้น แต่ส่วนที่น่าสนใจมากๆคือทางเข้าด้านหน้าที่ติดถนนนั้นตั้งศาลพระภูมิที่เราเห็นตามบ้านอยู่ อ.เจ็งถึงกับบอกว่า “เป็นผมก็คงไม่กล้าทำ” แล้วเราก็เดินกลับไปขึ้นรถเพื่อไปยังจุดหมายต่อไปนั่นคือวัดทุ่งอ้อซึ่งพระที่วัดนี้ท่านบอกว่าอายุของโบสถ์ที่เราเข้าไปดูกันนั้นกว่า 100 ปี โบสถ์ของวัดนี้มีความแตกต่างจากวัดอื่นที่เป็นลักษณะล้านนาที่เราไปมาหลายที่ค่อนข้างมากคือ ตัวโบสถ์ขนาดค่อนข้างเล็กและยกฐานสูงเมื่อเทียบกับขนาดโบสถ์ทำให้สัดส่วนดูแปลกตากว่าที่อื่นๆ บวกกับปั้นลมปูนปั้นฉลุตกแต่งลวดลายตัวเหงาดูแปลกตา แต่เมื่อมามองภายนอกก็จะเห็นถึงความสวยงามของสัดส่วนที่ก็ดูเหมาะสมสวยงาม การลดระดับของผนังคอนกรีตด้านข้างตามระดับความสูงของหลังคาทำให้รูปด้านไม่ดูตันเกิด dymanic ที่สำคัญคือบันไดทางขึ้นด้านหน้าตัวระเบียงทางขึ้นนั้นมีขนาดใหญ่และหนามากเมื่อเทียบกับขนาดของด้านหน้าโบสถ์และเมื่อเดินขึ้นไปยังเจอเสาแปดเหลี่ยมที่วางบีบทางเข้าด้วยระยะห่างน้อยกว่าระยะเสาด้านในเมื่อเดินผ่านเข้าไปก็จะพบกับ Space ที่ดูกว้างขวางกว่าที่เห็นจากด้านนอกเป็นการสร้างการรับรู้ที่ว่างอย่างแยบยล เราก็ใช้เวลาอยู่ที่นี่กันสักพักหนึ่งกินน้ำกินท่าเรียบร้อยเราก็ขึ้นรถไปที่ต่อไป สถานที่ซึ่งข้าพเจ้ารอที่จะไปดูเพราะว่าเคยเห็นทางรายการทีวีช่อง 5 ช่วงเช้าวันเสาร์เลยทำให้อยากมาดูด้วยตัวเอง วัดต้นเกว๋นหรือวัดอินทราวาส ตำบลหนองควาย อำเภอหางดง เมื่อมาถึงก็พบกับกำแพงรั้วกั้นเปิดทางเข้าไว้พอให้รถผ่านเข้าไปได้หนึ่งคันแต่ไม่น่าจะให้รถเข้า เดินเข้าไปก็พบกับพื้นทรายเวิ้งว้างมีวิหารตั้งอยู่ตรงกลางพร้อมระเบียงคดรอบ ลักษณะวิหารมีความคล้ายคลึงกับวัดทุ่งอ้อแสดงว่าที่เชียงใหม่นี้มีการสร้างวิหารแบบล้านนาในลักษณะคล้ายกัน แล้วก็ไม่ผิดหวังที่รอคอยรายละเอียดต่างๆ โครงสร้าง สัดส่วน การจัดวาง วัสดุ ส่วนประกอบการตกแต่งลวดลายต่างๆดูแล้วมีความสมบูรณ์มาก จนข่าวดีก็มาถึง อ.ไก่ให้นศ.ที่ขาดในรายวิชา Profess.1 ครั้งตัดโมเดลตัวมณฑปส่งด้วยแต่ก็ไม่น่าจะเป็นไรมากเพราะมีพวกเดียวกันกับเราเยอะช่วยๆกันทำเดี๋ยวก็คงเสร็จ ข้าพเจ้าก็เลยนั่งทำความเข้าใจโครงสร้างของหลังคาศาลานี้อย่างตั้งใจทั้งลองเขียนถ่ายภาพไว้จนจ๊ะเอ๋กับสัตว์โลกที่เกลียดมากที่สุด ตุ๊กแกตัวเขื่องเกาะอยู่ตรงขื่อหน้าตาน่ากลัวมาก พอนั่งอยู่ใต้ศาลาสักพัก อ.จิ๋วก็เรียกให้เข้าไปด้านในวิหารเพื่อทำการชี้ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญในวิหารแห่งนี้คือเพดานที่สร้างการรับรู้ต่างกันเมื่ออยู่ที่ด้านทางเข้ามองมาที่พระประธานกับมองออกนอกพระประธาน ซึ่งถ้าจะอธิบายเป็นภาษาเขียนเห็นที่ว่าจะทำให้เข้าใจไม่ได้จึงขอให้ดูจากภาพเบลอๆแทน แต่สิ่งที่ทำให้เกิดการรับรู้ลักษณะนั้นเกิดจากการลดระดับชั้นหลังคา สี และช่องที่หน้าบันระหว่างขื่อตุ๊กตานั่นเอง การอธิบายของ อ.จิ๋วนั้นไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนอย่างแน่นอน การวิ่งไปวิ่งมาเพื่อตาม อ.จิ๋ว ที่พยายามให้เราเห็นอย่างที่ควรเห็นสร้างความประทับใจให้ข้าพเจ้าอย่างมาก มันแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของครูที่ต้องการสอนลูกศิษย์ให้เข้าใจอย่างแท้จริงซึ่งหาได้ยากแล้วในรั้วมหาวิทยาลัยที่จะมี อ.ผู้สอนจิตใจเยี่ยงนี้ แต่ข้าพเจ้าก็มีความภาคภูมิใจที่ในภาควิชาเรามี อ.ลักษณะอย่างนี้อยู่มากไม่แพ้ที่ใดแต่บางทีเรามองข้ามไปเพราะปัจจัยหลายๆอย่าง จบจากวัดต้นเกว๋นเราก็ไปต่อที่โรงแรมราชมรรคาเป็นโรงแรมแบบบูทีคคล้ายกับโรงแรมยูเชียงใหม่แต่ต่างกันที่ไม่ได้เอาโมเดิร์นผสมกับของเก่า แต่เป็นการนำของเก่ามาเล่าใหม่ในแบบฉบับของสถาปนิกเจ้าของงานซึ่งก็คือคุณองอาจ สาตรพันธุ์ในอดีตเรียกได้ว่าเป็น Corbusian คือชื่นชมและเคารพ Le Corbusier จนนำวิธีและสัดส่วนโมดูเลอร์เข้ามาใช้ในงานออกแบบที่เห็นได้ชัดคือโรงเรียนปานะพันธุ์ แต่ในงานออกแบบโรงแรมนี้คุณองอาจนำเอาลักษณะ องค์ประกอบ และรายละเอียดแบบล้านนาเข้าไปใช้ในการออกแบบ เช่น วิหารที่เราไปมาในเชียงใหม่หลายๆที่คุณองอาจก็นำระเบียบแบบนั้นเข้ามาจับในการออกแบบอาคาร ผังต่างๆ พื้นที่เชื่อมต่อทุกอย่างล้วนเป็นการเอาของเก่ามาทำใหม่ด้วยวิธีแบบสมัยใหม่ อาจจะต่างไปจากโรงแรมยูอยู่บ้างที่ไม่ได้อนุรักษ์ของเก่าเอาไว้แต่เป็นการสร้างของเก่าขึ้นมาใช้ในสมัยนี้ได้อย่างมีความเคารพและเข้าใจอย่างถ่องแท้ ซึ่งทุกที่ในโรงแรมที่ข้าพเจ้าได้เข้าไปสัมผัสนั้นมีความสวยงามไปหมด เหมือนอยู่ในกลุ่มอาคารที่สงบนิ่งมากแต่ก็ไม่รู้สึกถึงขั้นศรัทธาเหมือนวัด แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก เรามีของดีที่สามารถนำมาใช้ได้อยู่แล้วเพียงแต่จะรู้หรือเปล่าว่าจะนำมาใช้อย่างไรกลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายและน่าสนใจในทัศนะของข้าพเจ้ามากกว่าการไล่ตาม Saha Hadid, Herzog De Meuron, Rem Koolhaas,UN studio อย่างแน่นอน จบวันนี้ด้วยความประทับใจอย่างมากมายแล้วเราก็ออกจากโรงแรมนี้ไปรับประทานอาหารเย็นกัน กลับที่พักมาเราก็อาบน้ำเตรียมตัวพักผ่อนส่วนข้าพเจ้าเก็บข้าวของพร้อมสำหรับออกวันพรุ่งนี้เพราะคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เราจะนอนที่เชียงใหม่ ก่อนนอนก็ขอโขกกับอั๋นสักกระดานจน อ.พรพุฒิเข้ามาดูความเรียบร้อยเท่านั้นแหละเลยไม่ได้นอนเร็วอย่างที่ตั้งใจแล้ว จบจากอั๋นก็เลยต้องเล่นต่อกับ อ.พรพุฒิ 2 กระดานซึ่งกระดานนึงนี่ปาเข้าไปเป็นชั่วโมงสุดท้ายก็ยันไม่อยู่ต้องยอมพ่ายแพ้ให้ อ.ไปในกระดานที่ 2 ถึงจะได้นอนเตรียมพร้อมกับการเดินทางวันพรุ่งนี้