ครั้งแรกที่ได้ยินคำว่าสถาปนิก(น่าจะช่วงประถมปลายๆถึงมัธยมต้น) จำได้ว่าจะเป็นสถาปนิกต้องเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์แต่ข้าพเจ้าเองไม่รู้ว่าอาชีพนี้เขาทำอะไรกันบ้าง หรือมีความสามารถด้านไหนอย่างแท้จริง แต่ตอนนั้นรู้ว่า พี่ดู๋ สัญญา คุณากร เขาเรียนสถาปัตยฯนี่ ศรัญญู วงศ์กระจ่าง ก็ด้วย แต่เขาเป็นนักแสดง วงเฉลียงก็จบสถาปัตยฯ (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ามีใครบ้าง) แต่พวกเขาเป็นนักดนตรีนะ รายการเพชฌฆาตความเครียดที่แม่บอกว่าตลกมาก ผู้ดำเนินรายการที่เรียกว่า”ซูโม่”ทุกคนก็จบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์แต่พวกเขาทั้งหมดนี้ก็อยู่วงการบันเทิง ไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่าเรียนสถาปัตยฯแล้วไปเป็นสถาปนิก ในเมื่อทำงานในวงการบันเทิงทั้งรายได้ดี ทั้งมีชื่อเสียง แต่ในขณะนั้นเองข้าพเจ้าก็สรุปเองว่าพวกดารานักแสดง หรือนักดนตรีที่จบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์นี้นั้น ซึ่งเกือบทั้งหมดจบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นคนมีชื่อเสียงที่ค่อนข้างมีความคิดเป็นของตัวเอง ดูแล้วรู้สึกได้ว่าไม่เหมือนดาราคนอื่น ทำให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการรู้จักกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ในลักษณะนี้ แต่ยังไม่รู้อยู่ดีว่าสถาปนิกเขาทำอะไร
ชีวิตในช่วงมัธยมต้นนั้นการเรียนก็อยู่ในเกณฑ์ที่คิดว่าคงดีเมื่อเทียบกับเพื่อนหลายๆคน ซึ่งในตอนนั้นมีความจำเป็นที่ต้องเริ่มคิดว่าชีวิตของเราจะเริ่มไปทางไหนแล้ว คือเมื่อจบ ม.3 จะต้องมีการเลือก แผนการเรียนในช่วง ม.ปลาย ซึ่งเหตุผลหลายๆอย่างที่นำมาประกอบการตัดสินใจนั้นมีไม่มากแต่ที่สำคัญที่สุดคือ เรียนแผนใดๆมีผลต่อการสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยด้วย ก็เลือกแผนวิทย์-คณิตไปเพราะเป็นแผนการเรียนที่เลือกสอบเข้าในมหาวิทยาลัยได้หลายคณะและเป็นคณะยอดนิยมทั้งนั้น เช่น แพทย์ วิศวะ ทันตแพทย์ ฯลฯ แต่ในใจตอนนั้นคัดค้านเล็กๆว่า อ้าวแล้วถ้ากูเรียนไปแล้วไม่ชอบล่ะอย่างเคมี ชีวะเนี่ยไม่เห็นจะอยากเรียนเลย แต่มาติดอยู่ ข้อที่ว่าคณะสถาปัตยฯเขาต้องใช้นักเรียนแผนวิทย์-คณิต(มีใครสักคนบอกไว้) ถึงตอนนั้นจะยังไม่มั่นใจขนาดว่าต่อไปเราต้องเอ็นฯเข้าคณะสถาปัตยฯแน่ๆ แต่ยังไงซะก็เลือกไว้ก่อน
พอเข้าสู่ ม.ปลาย ก็เป็นจริงอย่างที่คิด “ทำไมกูต้องเรียน เคมี ชีวะ ด้วยวะ ในเมื่อกูจะเข้า’ถาปัด มันใช้แต่ฟิสิกส์นะ”เกิดเป็นคำถามแสดงความสงสัยต่อระบบการเรียนการสอน ในประเทศไทย ซึ่งในขณะนั้นข้าพเจ้าเองก็ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าต่อไปจะตั้งใจสอบเอ็นทรานซ์เพื่อเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ โดยความเข้าใจต่ออาชีพสถาปนิกนั้นมีในระดับนึงคือออกแบบอาคารแน่ๆ และสามารถออกแบบตกแต่งภายใน จนถึงlandscapeหรือภูมิสถาปัตย์ได้ด้วย แต่ในใจลึกๆแล้วนั้นยังมีความเชื่อที่ว่าคณะนี้คงต้องสอนคนให้รู้จักคิด วางแผน มีความเป็นตัวของตัวเองในทางที่ดี จนสามารถแสดงออกมาและใช้ประกอบอาชีพได้ในสาขาต่างๆที่มีความเกี่ยวข้องกัน แบบพวกพี่ดู๋ พี่ตู้ ดิเรก พี่กิ๊ก อาปัญญา ที่เราเห็นทางทีวีแน่นอน ซึ่งมาคิดดูดีดีแล้วสมัยนั้นเราไม่รู้จักใครที่มีอาชีพเป็นสถาปนิกจริงๆเลย นอกจากคุณนิธิ สถาปิตานนท์ ก็รู้จักแค่ว่าเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาสถาปัตยกรรมแต่ไม่รู้อะไรมากไปกว่านั้นเลย นึกแล้วก็อนาถตัวเองที่อยากเรียนสาขาเดียวกันนี้แต่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวงการนี้เลย เมื่อถึงเวลาสอบเอ็นทรานซ์เพื่อนๆคนอื่นต่างก็สมัครสอบวิชามากมายเพื่อสามารถเลือกคณะได้หลากหลาย เพราะคณะต่างๆใช้วิชาสอบเพื่อสมัครเข้าไม่เหมือนกัน แต่เรารู้อยู่แล้ว”เข้า’ถาปัดไม่สอบเคมี ชีวะเว่ยไม่ต้องสมัครหรอก” ไม่สมัครวิชาอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ นอกจากพวกวิชาทางศิลปะเพราะมีสิทธิ์สมัครมัณฑนศิลป์ได้ ก็สอบไปคะแนนออกมา รู้แล้วว่าเข้าไม่ได้แน่ๆมหาวิทยาลัยที่อยากเข้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดบอกแม่อยู่ว่าง 1 ปี สุดท้ายพอถึงเวลาอีกครั้งคะแนนพอต่อการสมัครมหาวิทยาลัยที่ต้องการแล้ว ซึ่งตอนนี้ไม่มีความต้องการเรียนที่จุฬาฯเหมือนไอดอลสมัยเด็กๆแล้ว(ถึงอยากคะแนนก็ไม่ถึง) เลือกที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังแห่งนี้แทนที่จะเลือกศิลปากร เพราะไม่อยากพลาดและคิดว่าน่าจะได้ชัวร์ๆ
เมื่อได้เรียนในแบบที่เราตั้งใจมาตั้งแต่เด็กๆแล้วมีความรู้สึกเหมือนทำความฝันให้สำเร็จได้อย่างหนึ่งแต่ชีวิตมันไม่ใช่ง่ายดายอย่างนั้น จนเริ่มเรียนถึงรู้ว่าเฮ่ย..กูคิดผิดรึเปล่าวะไอ้ที่ฝันไว้สมัยเด็กมันไม่ใช่อย่างนี้นี่ แต่อย่างไรก็ตามถึงจะรู้สึกว่าไม่ได้ตรงกับที่คิดไว้นักเมื่อเรียนไปเรื่อยๆก็ทำให้รู้ว่านี่อาจจะใช่ตัวเราก็ได้ ถึงไม่ได้แบบว่าตรงเป๊ะแต่ก็ยังมีบางมุมบางด้านที่รู้สึกว่า ถึงเหนื่อยแต่ มันว่ะ สนุกดี การโดน อ. วิจารณ์แรงๆมันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในภายภาคหน้า สถานการณ์ต่างๆมันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าโตขึ้น ประสบการณ์ที่ได้มาคุ้มค่ากับการลำบากตรากตรำ หลังขดหลังแข็ง ไม่ได้หลับได้นอน บางทีเป็นวัน ซึ่งจากการผ่านมา 4 ปีชีวิตในคราบนักศึกษาคณะสถาปัตยฯนี้อย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าสำคัญมากเป็นลำดับต้นๆคือสุขภาพ เพราะถ้าขาดสิ่งนี้ไปหรือมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายเรา มันทำให้การเรียนที่ยากลำบากจะยากขึ้นอีกและการจะจบการศึกษาวิชานี้ไปไม่จำเป็นต้องได้โรคหลายๆอย่างไปด้วย เช่น ปวดหลัง สายตาเสีย โรคกระเพาะ ปอดเสีย ตับอ่อนแอเหล่านี้เกิดจากปัจจัยหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นจากการเรียนคณะนี้สำหรับนักศึกษาหลายท่าน แต่สำหรับข้าพเจ้าเองการที่เรารักษาสุขภาพไว้ให้ดีที่สุดนั้นอย่างน้อยเพื่อสำหรับทำสิ่งที่เราไม่เคยทำ ไปในที่ที่ไม่เคยไป ดูแลคนที่เรารักในภายภาคหน้า ก็คุ้มค่ากว่าการได้เกรดดีๆแต่ต้องมาล้มป่วยจนไม่สามารถชื่นชมกับสิ่งที่ตัวเองทำเอาไว้ได้ นั่นเป็นเพียงมุมมองส่วนหนึ่งในทัศนะของข้าพเจ้าเอง เพราะการเรียนคณะนี้สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญที่สุดคือเวลาและการวางแผนจะช่วยในการทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างเป็นสุขได้ทั้งเกรดและมีร่างกายแข็งแรง(ข้าพเจ้าเองทำได้ไม่หมดได้เพียงบางอย่าง)
สิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างเรียนและกลายเป็นข้อสงสัยในแง่ลบของวิชานี้ มีหลายๆอย่างซึ่งอย่างที่ทุกคนรู้กันดีสถาปนิกเป็นอาชีพที่มีเกียรติสามารถทำให้มีเงินมีทองร่ำรวยได้ เพราะความเป็นอาชีพที่มีเกียรติผู้คนให้ความนับถือเพราะเรารู้ในศาสตร์เฉพาะทางเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของผู้คน ความรับผิดชอบของอาชีพนี้ย่อมสูงตามศีลธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญในอาชีพ จากที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จนมาถึงปี 5 นี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าการที่กิเลสจะครอบงำคนในอาชีพสถาปนิกนี้ไม่ยากเลย อาจเพียงแค่ปากกาจรดแล้วตวัดเป็นลายเซ็นซึ่งอาจทำให้ได้ค่าตอบแทนมากมายอย่างง่ายดาย แต่ผลที่เกิดขึ้นอาจส่งผลต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนทั่วไปได้ง่ายเช่นกัน เพียงการขาดความรับผิดชอบเพียงเล็กน้อย เหล่านี้เป็นเพียงความเป็นไปได้ของอาชีพนี้ที่ข้าพเจ้าเห็น ซึ่งความรับผิดชอบอาจยังไม่เพียงพอก็ได้ เพราะอย่างที่รู้สถาปนิกก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรของโลกหลายๆสิ่ง ซึ่งหลายๆสิ่งนั้นอาจหมดไปได้ เช่น ปูน หิน เหล็ก ทรัพยากรเหล่านี้ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ และกระบวนการหลายอย่างทางการก่อสร้างก่อให้เกิดมลพิษต่อโลก ความรู้ความสามารถของอาชีพนี้อาจต้องนำมาใช้ในการตระหนักถึงความเป็นจริงดังกล่าวและก่อให้เกิดสิ่งที่ดีกว่าต่อโลกและสังคม เพราะอาชีพนี้มีอิทธิพลต่อหลายๆอาชีพในสังคมไม่ว่าจะนักธุรกิจหลายร้อยล้าน นักการเมือง ข้าราชการ คนธรรมดาทั่วไป จนถึงระดับเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์ จรรยาบรรณความรับผิดชอบ และศีลธรรมอันดีจำเป็นต่ออาชีพนี้ไม่แพ้นักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูง นี่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รู้ได้เห็นเมื่อเข้ามาเรียนในคณะนี้ นอกเหนือจากความรู้ทางด้านวิชาการหรือทักษะที่จำเป็นต้องมีเพื่อออกไปประกอบวิชาชีพสถาปนิกตามความตั้งใจของสถาบันที่จะผลิตบุคลากรในสายนี้สู่สังคมอันกว้างใหญ่ต่อไป
สิ่งที่ข้าพเจ้าได้จากการเรียนในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สจล.นี้ล้วนเป็นประสบการณ์ที่สำคัญและเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้การใช้ชีวิต นอกเหนือจากการได้รับความรู้ทั้งหลายทั้งมวล วิชาชีพสถาปนิกนั้นเป็นอาชีพที่ในขณะนี้ข้าพเจ้ามีความตั้งใจที่จะออกไปประกอบเป็นอาชีพหลัก อย่างน้อยเพื่อให้คุ้มค่ากับเงินที่ได้ใช้ในขณะเรียน แม้ที่กล่าวมาข้างต้นดูจะเป็นแง่ร้ายในวิชาชีพนี้แต่สุดท้ายแล้วด้วยจุดเริ่มต้นอาชีพสถาปนิกนั้นมีหน้าที่เป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งก่อสร้างที่จะตั้งอยู่บนผืนโลก ซึ่งอาจจะเล็กใหญ่แล้วแต่ความต้องการของผู้สร้าง สถาปนิกจึงต้องเป็นผู้รังสรรค์ให้สิ่งก่อสร้างนี้มีคุณค่าควรแก่การใช้เนื้อที่ของผืนโลกที่จำกัดนี้อย่างมีประโยชน์สูงสุด นั่นคือสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นข้อสำคัญหนึ่งในหน้าที่ของวิชาชีพสถาปนิกนี้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
เราชอบสิ่งที่นายเขียนว่ะ....ไม่น่าเชื่อ เด็กตัวดำๆ ไม่ค่อยพูดอย่างนาย มีความคิดดีๆแบบนี้อ่ะ....
ตอบลบ